Tuesday, March 20, 2012

วิเคราะห์ปาราชิก .. ปาราชิก

    พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 459
 [๒๓๕]  ....

            บทว่า   เป็นปาราชิก   ความว่า  ต้นตาลมียอดด้วนแล้ว   ไม่อาจจะ

งอกอีก  ชื่อแม้ฉันใด  ภิกษุ ก็ฉันนั้นแหละ  มีความอยากอันลามก  อันความ

อยากรอบงำแล้ว    พูดอวดอุตริมนุสธรรม      อันไม่มีอยู่      อันไม่เป็นจริง

ย่อมไม่ เป็นสมณะ    ไม่เป็นเชื้อสายพระศากยบุตร   เพราะฉะนั้น   พระผู้มี-

พระภาคเจ้าจึงตรัสว่า  เป็นปาราชิก.

                   พระวินัยปิฎก ปริวาร เล่ม ๘ - หน้าที่ 619
                                
[วิเคราะห์ปาราชิก] 

            บรรดาคาถาเหล่านั้น  คาถาที่  ๑  ว่า    ปาราชิกํ  เป็นต้น    มีเนื้อความ

ดังต่อไปนี้:-

           บรรดาบุคคลปาราชิก  อาบัติปาราชิก  และสิกขาบทปาราชิก  ชื่ออาบัติ

ปาราชิกนี้ใด   อันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว,     บุคคลผู้ต้องอาบัติปาราชิกนั้น

ย่อมเป็นผู้พ่าย  คือ   ถึงความแพ้   เป็นผู้เคลื่อน   ผิด   ตก   อันความละเมิดทำ

ให้ห่างจากสัทธรรม.     เมื่อบุคคลนั้นไม่ถูกขับออก    (จากหมู่)    ก็ไม่มีสังวาส

ต่างโดยอุโบสถและปวารณาเป็นต้นอีก.       ด้วยเหตุนั้น   ปาราชิกนั่น   พระผู้มี

พระภาคเจ้าจึงตรัสอย่างนั้น   คือ    เพราะเหตุนั้น   อาบัติปาราชิกนั่น     พระผู้มี

พระภาคเ จ้าจึงตรัสว่า   ปาราชิก.                                                         

           ก็ในบทว่า  ปาราชิกํ  นี้    มีความสังเขปดังนี้:-

           บุคคลย่อมเป็นผู้พ่ายด้วยอาบัติปาราชิกนั้น     เพราะเหตุนั้น      อาบัติ

ปาราชิกนั่น  ท่านจึงกล่าวว่า  ปาราชิก.         


พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ 401
                       พระบัญญัญัติสิกขาบทที่ ๑
        ๑.  อนึ่ง  ภิกษุใด  ถึงพร้อมซึ่งสิกขาและสาชีพของภิกษุทั้ง

หลายแล้ว  ไม่บอกคืนสิกขา  ไม่ทำความเป็นผู้ทุรพลให้แจ้ง  เสพ

เมถุนธรรม  โดยที่สุดแม้ในสัตว์ดิรัจฉานตัวเมีย  เป็นปาราชิก  หา

สังวาสมิได้.

                                สิกขาบทวิภังค์

        [๒๕]  บทว่า  อนึ่ง....ใด  ความว่า  ผู้ใด  คือ  ผู้เช่นใด มีการงาน

อย่างใด  มีชาติอย่างใด  มีชื่ออย่างใด  มีโคตรอย่างใด  มีปกติอย่างใด  มีธรรม

เครื่องอยู่อย่างใด  มีอารมณ์อย่างใด  เป็นเถระก็ตาม  เป็นนวกะก็ตาม  เป็น

มัชฌิมะก็ตาม  นี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า  อนึ่ง...ใด.

        [๒๖]  บทว่า  ภิกษุ  ความว่า  ที่ชื่อว่า  ภิกษุ  เพราะอรรถว่าเป็น

ผู้ขอ  ชื่อว่า  ภิกษุ  เพราะอรรถว่าประพฤติภิกขาจริยวัตร  ชื่อว่า   ภิกษุ

เพราะอรรถว่าทรงผืนผ้าที่ถูกทำลายแล้ว ชื่อว่า  ภิกษุ  โดยสมญา  ชื่อว่า  ภิกษุ

โดยปฏิญญา  ชื่อว่า  ภิกษุ  เพราะอรรถว่าเป็นเอหิภิกษุ  ชื่อว่า  ภิกษุ  เพราะ 

อรรถว่าเป็นผู้อุปสมบทแล้วด้วยไตรสรณคมน์  ชื่อว่า  ภิกษุ   เพราะอรรถว่า

เป็นผู้เจริญ  ชื่อว่า  ภิกษุ  เพราะอรรถว่ามีสารธรรม  ชื่อว่า ภิกษุ  เพราะ

อรรถว่าเป็นพระเสขะ  ชื่อว่า   ภิกษุ  เพราะอรรถว่าเป็นพระอเสขะ  ชื่อว่า

ภิกษุ  เพราะอรรถว่าเป็นผู้อันสงฆ์พร้อมเพรียงกัน  อุปสมบทให้ด้วยญัตติ-

จตุตถกรรม  อันไม่กำเริบ  ควรแก่ฐานะ  บรรดาภิกษุเหล่านั้น ภิกษุที่สงฆ์

พร้อมเพรียงกันอุปสมบทให้ด้วยญัตติจตุตถกรรม  อันไม่กำเริบ  ควรแก่ฐานะนี้

ชื่อว่า  ภิกษุ  ที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้.

        [๒๗]  บทว่า  สิกขา  ได้แก่สิกขา  ๓  ประการคือ  อธิสีลสิกขา

อธิจิตตสิกขา  อธิปัญญาสิกขา  บรรดาสิกขา  ๓  ประการเหล่านั้น  อธิสีลสิกขานี้

ชื่อว่า  สิกขา  ที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้.

        [๒๘]  ชื่อว่า  สาชีพ  อธิบายว่า  สิกขาบทใดที่พระผู้มีพระภาคเจ้า

ทรงบัญญัติไว้   สิกขาบทนั้น  ชื่อว่า  สาชีพ  ภิกษุศึกษาในสาชีพนั้น  เพราะ

เหตุนั้นจึงตรัสว่า  ถึงพร้อมซึ่งสาชีพ.

        [๒๙]  คำว่า  ไม่บอกคืนสิกขา  ไม่ทำความเป็นผู้ทุรพลให้แจ้ง

ทรงอธิบายไว้ว่า   ภิกษุทั้งหลาย  การทำความเป็นผู้ทุรพลให้แจ้ง  และสิกขา

ไม่เป็นอันบอกคืนก็มี  ภิกษุทั้งหลาย  การทำความเป็นผู้ทุรพลให้แจ้ง และ

สิกขาเป็นอันบอกคืนก็มี.

 [๓๓]  ที่ชื่อว่า  เมถุนธรรม  มีอธิบายว่า  ธรรมของอสัตบุรุษ

ประเพณีของชาวบ้าน  มรรยาทของคนชั้นต่ำ  ธรรมอันชั่วหยาบ  ธรรมอันมี

น้ำเป็นที่สุด  กิจที่ควรซ่อนเร้น  ธรรมอันคนเป็นคู่ ๆ พึงประพฤติร่วมกัน

นี้ชื่อว่า  เมถุนธรรม.

        [๓๔]  ที่ชื่อว่า  เสพ  ความว่า  ภิกษุใดสอดนิมิตเข้าไปทางนิมิต

สอดองค์กำเนิดเข้าไปทางองค์กำเนิด  โดยที่สุดแม้ชั่วเมล็ดงา  ภิกษุนั้นชื่อว่า

เสพ

        [๓๕]  คำว่า  โดยที่สุดแม้ในสัตว์ดิรัจฉานตัวเมีย  ความว่า

ภิกษุเสพเมถุนธรรม  แม้ในสัตว์ดิรัจฉานตัวเมีย  ย่อมไม่เป็นสมณะ ไม่เป็น

เชื้อสายศากยบุตร  จะกล่าวไยในหญิงมนุษย์   เพราะฉะนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้า

จึงตรัสว่า  โดยที่สุดแม้ในสัตว์ดิรัจฉานตัวเมีย.

 [๓๖]  คำว่า  เป็นปาราชิก  ความว่า  บุรุษถูกตัดศีรษะแล้ว  ไม่อาจ

มีสรีระคุมกันนั้นเป็นอยู่  ชื่อแม้ฉันใด  ภิกษุก็ฉันนั้นเหมือนกัน  เสพเมถุนธรรม

แล้วย่อมไม่เป็นสมณะ  ไม่เป็นเชื้อสายพระศากยบุตร  เพราะเหตุนั้นจึงตรัสว่า

เป็นปาราชิก. 

        [๓๗]  บทว่า  หาสังวาสมิได้  ความว่า  ที่ชื่อว่า  สังวาส  ได้แก่

กรรมที่พึงทำร่วมกัน  อุเทศที่พึงสวดร่วมกัน   ความเป็นผู้มีสิกขาเสมอกัน

นี้ชื่อว่า  สังวาส  สังวาสนั้นไม่มีร่วมกับภิกษุนั้น  เพราะเหตุนั้นจึงตรัสว่า

หาสังวาสมิได้.




ที่มา @ dhammahome

No comments:

Post a Comment