Sunday, March 18, 2012

ชั้นเชิงการปฏิบัติทางจิต ตอน 2 โดย พระครูเกษมธรรมทัต (สุรศักดิ์ เขมรสี)

เพราะฉะนั้นเราจะต้องเริ่มต้น วางท่าทีตั้งแต่ต้นใหม่ ทำเหมือนไม่ได้ทำคือไม่ตั้งใจจะทำ ปล่อยวางทุกอย่าง ทำเป็นธรรมดา ค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไป ถ้าหากว่าเข้าใจเมื่อมันเกิดความเคร่งตึง สติเข้าไปรู้ความเคร่งตึงนั้น ผ่อนไป ผ่อนตามไป รู้สึกมันจะเคลื่อนไปตรงไหนก็ผ่อนไปเคลื่อนไปผ่อนไป ความรู้สึกว่าจิตจะเคลื่อนไปตรงไหนก็รู้ตรงนั้น ผ่อนไปตรงนั้น เคลื่อนไปตรงไหนก็รู้ไปตรงนั้นไม่มีการฝืน ไม่ฝืนทางกายและก็ไม่ฝืนทางจิตใจ ไม่มีการบังคับจิตว่าจะต้องมาดูเฉพาะตรงนี้ ความรู้สึกมันเคลื่อนไปตรงนู้นก็ต้องผ่อนไปตรงนู้นผ่อนไปตรงนั้น มันก็เหมือนกับเราคลายสะสางสิ่งที่มันยุ่งเหยิงน่ะ ผ่อนไปผ่อนมามันก็หลุดไปหมด ต้องสังเกตดูว่าต้องไม่ฝืน

แล้วก็มีวิธีแก้อีกอย่างหนึ่ง คือการน้อมใส่ใจดูเฉพาะจิตเท่านั้น คือการที่ไม่ดูกายแต่อันนี้ก็เป็นเรื่องที่ต้องเข้าใจในการดูจิต ต้องจับจิตดูจิตเป็น คือน้อมเข้าไปดูที่จิต อาจจะมีการฝืน ๆ หน่อย แต่ว่าฝืนแบบเลี่ยงคือเสี่ยงทางกาย เพราะว่าเอาจิตใจไปดูกายแล้วมันบังคับมันไปสะกดก็เลี่ยงมาดูที่จิต ดูจิตใจ ดูจิตใจ เหมือนกับว่าทิ้งความรู้สึกทางกาย ดูที่จิตไปจนรู้สึกมีสมาธิขึ้น เบา กายจะเบาคลี่คลาย สมองคลี่คลายจิตใจคลี่คลาย ก็กลับผ่อนมาเป็นปรกติรับรู้ทางกายทางจิตใจ อาการเหล่านั้นก็คลี่คลายไปได้เช่นเดียวกัน แต่การน้อมเข้าไปดูจิตนั้นก็ไม่ใช่ไปกดข่มนะ น้อมรู้เบา ๆ สัมผัสเบา ๆ เพียงแต่ว่าเบี่ยงเบนไม่ดูกาย อันนี้ก็เป็นวิธีหนึ่ง

หรือถ้าใครเป็นน้อย ๆ แน่นตึงหน้าอกนี่ อาจจะใช้คำสมมติมาช่วยก็ได้ ถ้ายังทำจิตวางปล่อยไม่เป็น คำที่จะมาช่วยได้ก็คือคำว่า ปล่อยวาง คำว่าไม่เอาอะไร คำว่าปรกติ คำว่าคลี่คลาย เหล่านี้เป็นต้น คำไหนที่มันถนัดมันกินใจก็เอาอันนั้นน่ะ ทำความรู้สึกในใจสอนใจตัวเองว่า ปล่อยวาง ปล่อยวาง หรือไม่เอาอะไร ไม่เอาอะไร ไม่เอาอะไร คลี่คลาย ปล่อยวาง คลี่คลายปรกติ อาการเหล่านั้นก็จะคลี่คลายได้

แต่ถ้าเป็นการเจริญเดินหน้า เจริญวิปัสสนาเดินหน้า ก็ไม่มีการหลบเลี่ยงอะไรทั้งหมด ไม่มีคำบริกรรมอะไรทั้งหมด แต่รับรู้รับทราบสภาวะที่เกิดขึ้นด้วยความปล่อยวางด้วยความปรกติ เช่น มันตึงก็รับรู้ มันตึงกายตึง ก็รับรู้จิตใจก็รับรู้ รับรู้กายรับรู้ใจ แต่ว่าไม่ฝืนไม่บังคับ ปล่อยวางคลี่คลาย คือไม่หลบไม่หนีแต่ก็ไม่ได้บังคับ ไม่ได้ยินดียินร้าย วาง

ก็จะเป็นวิปัสสนาไปในตัว เรียกว่า สติกำหนดดูสภาพธรรม ความตึงความเจ็บ ความตึงความแข็ง ทุกขเวทนาเหล่านั้น แต่ว่าวางได้ สิ่งเหล่านั้นก็คลี่คลาย คลี่คลายพร้อมด้วยเกิดปัญญาเห็นสภาวะเห็นความจริงของสิ่งเหล่านี้ มีความเกิด มีความดับมีความแปรไป มีสภาพบังคับบัญชาไม่ได้ ไม่ใช่ตัวตนเช่นเดียวกัน อันนี้ก็บอกวิธีไว้ต่าง ๆ

ที่นี้บางท่านปฏิบัติไปก็ไม่ได้เคร่งเครียดไม่ได้เคร่งตึง จิตใจมีความสงบดี จิตมีความสงบดื่มด่ำเป็นสุข แต่ว่าทำไปแล้วมันไม่มีอะไร มันว่างไปหมด ทุกสิ่งทุกอย่างว่างเปล่า จิตใจสงบเป็นสุข ว่าง แต่ก็ไม่เห็นมันไปยังไง อยู่ยังงั้น ก็เรียกว่าเราทำมีสมาธิเกิดสมาธิเกิดความสงบ สภาวธรรมต่าง ๆ ละเอียด มีความละเอียด ลมหายใจละเอียด ความรู้สึกทางกายมันละเอียด

มันละเอียดมาก ๆ ก็จับมันไม่ออก สติระลึกรู้ไม่ออก เมื่อระลึกรู้ไม่ออกก็กลายเป็นความว่าง จิตไปรับอยู่ที่ความว่างเปล่า ไม่มีอะไร อยู่อย่างนั้นเป็นสุข อย่างนี้มันก็ไม่สามารถจะเจริญวิปัสสนาไปได้ วิปัสสนามันก็ไม่ก้าวหน้าเช่นเดียวกัน มันอยู่แค่นั้นอยู่แค่ความสงบแค่ความสุข มันไม่เป็นปัญญา ไม่เกิดปัญญา ไม่เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่เห็นความเกิดดับ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

เพราะอะไร เพราะว่าสติจิตใจไม่ได้รู้อยู่ที่สภาวปรมัตถ์ มันไปรู้อยู่กับความว่างเปล่า ความว่างเปล่ามันไม่ได้เป็นสภาวะไม่ได้เป็นปรมัตถธรรม มันก็ไม่มีการเกิดดับอะไรให้ดู มันก็เฉย ๆ อย่างนั้น มันก็ไม่เกิดปัญญาไม่เกิดวิปัสสนา ความว่างเปล่าไม่ได้เป็นสภาวปรมัตถ์ ไม่ใช่รูปไม่ใช่นาม ไม่ใช่ขันธ์ห้า มันเป็นสมมติอย่างหนึ่ง ความว่างเปล่าน่ะเป็นสมมติอย่างหนึ่ง

เพราะฉะนั้นจะทำอย่างไรให้มันเกิดสติปัญญาขึ้น ผู้ปฏิบัติก็จำเป็นที่จะต้องโยนิโสมนสิการ ทำรู้ให้ตรงแยบคาย คือจะต้องสังเกตสภาวปรมัตถ์ในขณะนั้น ๆ ให้ออกให้ได้ ในขณะที่จิตมีความสงบไปรู้อยู่กับความว่างเปล่านั้น ถามว่าขณะนั้นมีสภาวปรมัตถ์อะไรเกิดขึ้น มี มีสภาวปรมัตถ์เกิดอยู่ แต่เนื่องจากว่าจูนมาไม่ตรงไม่ถูก หรือ โยนิโสมนสิการไม่ถูก มันเลี่ยงมันดูไปทางอื่น มันหันการรับรู้มาไม่ถูก มันก็เลยไม่เห็นสภาวปรมัตถ์

อะไรเป็นสภาวปรมัตถ์ที่กำลังปรากฏอยู่ขณะนั้น ก็คือจิต จิตมีอยู่ตลอดเวลา จิตเกิดดับอยู่ตลอดเวลาพร้อมกับเจตสิก จิตเจตสิกเกิดดับร่วมกันอยู่ตลอดเวลา ถามว่าจิตขณะนั้นมีลักษณะเป็นอย่างไร จิตในขณะนั้นก็คือสภาพรู้ความว่าง อาการของจิตขณะนั้นคืออะไร คือความสุข คือปีติ คือความสงบหรือความเฉย นี่แหละคือสภาวปรมัตถ์ ฉะนั้นถ้าหากจะกำหนดรู้สภาวปรมัตถ์ก็ต้องจูนมาให้ถูก ในขณะที่สงบอยู่กับความว่างสติก็กลับรู้เข้ามาที่จิต ระลึกเข้ามาที่จิต ระลึกเข้ามาที่อาการในจิต ตัวสติก็เกิดกับจิตก็เรียกว่าจิตต้องรู้จิต จิตก็คือสภาพรู้อารมณ์ ก็คือรู้ต้องดูตัวรู้ รู้ต้องย้อนมาที่รู้ รู้ต้องย้อนมาที่ผู้รู้

ถ้ามันย้อนมาไม่เป็น มันฉุกตัวเองไม่ถูก มันรู้สึกตัวเองไม่ได้ มันก็ขยายไปแต่ความว่าง มันก็เลยไม่มีอะไร ทั้ง ๆ ที่ยังมีตัวดูอยู่ตัวรู้อยู่ตัวรู้สึกอยู่แต่ไม่เห็น เหมือนกับตัวเองหาอะไรต่ออะไรอยู่แต่ไม่เคยหาตัวเอง คนนี่บางทีเดินหาโน้นหานี่หาอะไรไม่มีแต่ที่จริงแล้วตัวเองก็มีอยู่ ไม่ได้หันมาดู เราจะรู้จักตัวเองก็ต้องรู้สึกตัวขึ้น จิตก็เหมือนกัน จิตมันจะรู้จักตัวมัน มันต้องรู้สึกตัว จิตรู้สึกตัวของมันแล้วก็รู้ตัวมันเอง หรือว่าจิตจะต้องทวนกระแสของมัน มันมีกระแสที่จะขยายออกไปนอก มันก็ต้องกลับทวนกระแสเข้ามาหาตัวมันจึงจะรู้จักมัน เห็นตัวมัน

คำว่า ตัว ตัว ก็ไม่ใช่เป็นตัวรูปร่างอะไร ไม่ใช่เป็นหุ่นเป็นทรงเป็นกลมเป็นแบน จิตเป็นเพียงธาตุรู้ สภาพรู้ รู้ในที่นี้ก็ไม่ใช่เป็นรู้แบบปัญญา แต่มันรู้อารมณ์ คำว่ารู้อารมณ์ก็คือมันรับอารมณ์ รับอารมณ์ แต่มันเร็ว ไม่มีสรีระไม่มีรูปร่างจิต ฉะนั้นถ้าหากสติสัมปชัญญะกลับดูเขัามาที่จิตเป็น มันจะเห็นทันทีว่าดับ คือเห็นสภาพรู้แล้วก็หมดลง คือรู้แล้วก็หมดสภาพรู้ รู้แล้วก็หมดสภาพรู้อย่างรวดเร็วมาก เรียกว่าเข้าไปสังเกตได้นิดหนึ่งก็หมดลง เข้าไปรู้สภาพรู้ได้นิดหนึ่ง หมดลง ก็ต้องรู้ใหม่ รู้บ่อย ๆ ก็จะเห็นจิตมีความเกิดดับ ก็เท่ากับว่ามีปัญญามีญาณ วิปัสสนาญาณเกิดขึ้น มีสภาวะรองรับอยู่ไม่ได้ว่างเปล่า

ถ้าหากว่าย้อนดูไม่เป็นมันก็ว่างอยู่อย่างนั้นไม่มีอะไร ถ้าย้อนรู้เป็นจะพบว่ามีสภาวะอยู่ตลอดเวลาไม่มีว่างเว้น มีจิตรับรู้อยู่ตลอด ตัวสติเป็นตัวระลึกตัวสัมปชัญญะเป็นตัวพิจารณาหรือจะรวมเรียกว่าตัวดูเนี่ย ตัวดูมันบอกไม่มีอะไรแต่ที่จริงก็มีตัวเองอยู่คือตัวดูอยู่ ก็ดูที่ตัวของตัวเอง ก็เห็นตัวเองมีลักษณะที่ดูแล้วก็หมด รู้แล้วก็หมด รู้แล้วก็หมด อันนี้น่ะเป็นส่วนสำคัญสำหรับนักปฏิบัติวิปัสสนาที่จะต้องก้าวเข้ามาจุดนี้ให้เป็น

ก็จะทำให้การปฏิบัตินั้นไม่ไปตันอยู่แค่ความว่าง ๆ ไม่มีอะไร วิปัสสนามันต้องมีรูปมีนามคือมีสภาวปรมัตถ์ให้รับให้รู้ตลอดเวลา ขณะใดมันไม่มีให้รู้ก็แสดงว่าตกจากสภาวปรมัตถ์ จะต้องปรับถูกรู้ถูก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นที่กล่าวมานี้ก็ไม่ใช่เราไปเข้มงวดไปจ้องไปเพ่งไปจี้ให้เห็น ไม่ใช่การรู้จักจิตใจจะต้องมีความนิ่มนวลมีความเบา มีความสละสลวย มีความละเอียดอ่อน อันนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งที่นักปฏิบัติจะต้องฟังแล้วก็ทำความเข้าใจแล้วก็ไปฝึกหัด

ส่วนบางท่านบางคน ถ้าหากว่าจิตนิ่งว่างอยู่นาน ๆ ก็อาจจะเกิดนิมิตขึ้นมา จิตสามารถจะสร้างนิมิตต่าง ๆ คือเป็นภาพ มโนภาพและให้รู้สึกว่าเป็นจริง ให้เหมือนกับการได้เห็นภาพจริง ๆ เป็นจริง ๆ ก็ให้รู้ว่านั่นคือนิมิตเกิดขึ้น วิธีก็คืออย่างเดียวกัน ก็คือรู้ที่จิต เวลาเกิดเห็นนิมิตอะไรต่าง ๆ เป็นภาพอะไรต่าง ๆ ให้รู้ว่านิมิตต่าง ๆ นั่นเป็นสมมติไม่ใช่ตัวปรมัตถ์ไม่ใช่ตัวสภาวะไม่ใช่เป็นทางเดินของวิปัสสนา

วิปัสสนานั้นจะต้องไม่มีนิมิตเครื่องหมาย เวลาวิปัสสนาเกิดขึ้นน่ะไม่มีนิมิตเครื่องหมาย ต้องรู้ที่รูปที่นามที่สภาวะ รูปนามสภาวปรมัตถ์นั้นมันไม่ได้เป็นภาพ ไม่ได้เป็นมโนภาพ ไม่ได้เป็นภาพคนภาพสัตว์ภาพเหตุการณ์ ภาพรูปร่างสัณฐานอะไรมันไม่เป็นอย่างนั้น ปรมัตถ์เป็นสภาวะเป็นความรู้สึกเป็นธาตุรู้ เป็นความรู้สึก อย่างที่กายก็ความรู้สึกความไหว ไม่มีรูปร่าง ทางจิตใจก็เป็นสภาพรู้สภาพรู้สึก

ฉะนั้นเวลาประพฤติปฏิบัติไปมีสติสมาธิ ลมหายใจหายไป ร่างกายหายไปก็อย่าไปค้นหาอีก อย่าไปเที่ยวค้นหารูปร่างกาย เอ๊ ร่างกายเราอยู่ตรงไหน ขาเรานั่งอยู่ตรงไหน อันนี้เป็นการที่เราไม่ยอมทิ้งสมมติ ไม่ยอมทิ้งชูชีพในการฝึกว่ายน้ำ ต้องปล่อยออกไป เราเคยชินอยู่กับสมมติมานาน เวลาสมมติมันหายไปเราก็จะรู้สึกเวิ้งว้างเราก็พยายามไปใฝ่หา เราต้องเข้าใจเสียใหม่ว่า นั่นคือสมมติ ให้มันหลุดออกไปเลยไม่ต้องไปค้นหาอีกแล้ว แขนขาหน้าตาท่าทางร่างกายความหมายว่านั่งมันไม่มีก็ดีแล้ว แต่ให้มันรู้กับความรู้สึกไว้

ไม่ใช่มันหายไปแล้วแล้วก็ไม่มีอะไรหรือว่างหมด ก็ไม่ใช่ ต้องมีอยู่ ต้องมีสภาวะอยู่ มีความรู้สึกอยู่ รู้ที่ความรู้สึกอยู่ ความรู้สึกกายที่มันบางเบา เช่น มันตึงเบา ๆ แข็ง เบา ๆ ไหว ๆ เบา ๆ รู้สึกนิด ๆ หน่อย ๆ น่ะต้องจับรู้ เล็ก ๆ ทั่วตัวนี่มีความรู้สึกอยู่ตลอดทั้งจิตใจให้รับรู้รับทราบอยู่กับความรู้สึก แม้แขนขาหน้าตามันหายไป ซึ่งก็ต้องให้หายไป ถ้ามันยังไม่หายก็แสดงว่าเรายังอยู่กับสมมติอยู่ เวลามันสู่โลกปรมัตถ์นี่มันไม่มีคนไม่มีสัตว์ ไม่มีรูปร่าง ไม่มีความหมายไม่มีชื่อภาษาอะไรต่าง ๆ

ในเรื่องภาษาก็เหมือนกัน การที่จิตจะมีภาษาเป็นคำพูดในใจเป็นชื่อภาษา พากย์อยู่ในใจก็คือจิตมันปรุงแต่งอยู่ มีตัวสัญญามีตัววิตกวิจารปรุงแต่งในจิตใจ มันก็มีภาษาขึ้น มีคำพูดขึ้น บางคนรู้ไม่ทันก็เหมือนกับจิตนี่มันคุยกัน จิตมันพูดกันในจิต พูดอย่างนี้ตอบอย่างนั้น พูดอย่างนั้นว่าอย่างนี้ รู้ไม่ทันก็กลับหลงว่าเป็นนิมิตเป็นเครื่องหมายเป็นสัตว์บุคคล ที่จริงแล้วก็คือจิตที่คิดนั่นแหละ คิดอย่างนี้ไปอย่างนั้นคิดอย่างนี้ มันก็เป็นภาษาเป็นคำพูด

ถ้ารู้ให้ตรง เวลาที่จิตมันมีคำพูดมีภาษาก็รู้ที่ความคิดรู้ที่ความตรึกรู้ที่ความนึกรู้ที่ความจดจำนั่นแหละ เรียกว่ารู้เข้าไปที่ปรมัตถ์ ภาษาก็อันตรธานไป คำพูดภาษาชื่ออันตรธาน เรียกว่าสามารถระงับความปรุงแต่ง ความปรุงแต่งมันหยุดลงมันก็ไม่ผลิตเป็นภาษาคำพูดอะไรขึ้นมา แต่มันก็เป็นไปชั่วระยะหนึ่งเดี๋ยวมันก็ผลิตอีก เรียกว่าปรุงแต่งอยู่ วิพากษ์วิจารณ์ภาษาขึ้นมา ถ้าปล่อยยาว ๆ ก็เรียกว่าคิดนึกเป็นเรื่องเป็นราว

ฉะนั้นผู้ปฏิบัติเมื่อปฏิบัติไปแยบคายแล้วจะเห็นต้นกำเนิดของความคิด พอจิตมันตรึกรู้ทัน พอนึกรู้ทัน พอนึกรู้ทันมันก็นึกไปไม่ได้แล้ว พอรู้ทันมันไม่นึกยาวออกไปแล้ว มันจะสลายตัว มันจะทำลายความปรุงแต่งหยุดความปรุงแต่ง พอปรุงนิดรู้ทัน ปรุงนิดรู้ทันมันก็ไม่ไปไหนแล้ว ถ้ารู้ตรงบ่อย ๆ ปล่อยวางถูกต้องจิตก็จะเกิดสมาธิขึ้นโดยธรรมชาติ รู้ที่จิตบ่อย ๆนี่รู้ตรงต่อความปรุงแต่งบ่อย ๆ นี่มันจะเกิดสมาธิขึ้นมาโดยไม่ต้องไปสร้างสมาธิ

สมาธิจะเกิดจะรู้สึกว่าจิตใจสงบ ดื่มด่ำลงไปอีกระดับหนึ่ง คือว่างลงไป แต่มันเป็นความว่างแบบมีสภาวะ ว่างในที่นี้คือว่างจากสมมติว่างจากชื่อภาษาความหมาย จากความปรุงแต่ง แต่มันเป็นสภาวะเป็นธาตุรู้เป็นสภาพรู้อยู่ ก็เป็นไปได้ระยะ ๆ ขณะ ๆๆ เดี๋ยวมันก็ปรุงได้อีกมีภาษามีความหมายก็รู้อีก นี่ก็ขอฝากไว้สำหรับท่านที่ปฏิบัติถึงในจุดนี้ก็ลองทดลอง ทดสอบพิจารณาสังเกตสิ่งเหล่านี้ดู

ที่นี้บางท่านก็มีปัญหาเรื่องการเจ็บป่วย ปวดทางร่างกาย นั่งไปแล้วรู้สึกมันปวด มันทุกข์ทางร่างกายจะทำอย่างไร เวลามีทุกขเวทนาแล้วจะทำอย่างไร การเจริญวิปัสสนานั้นน่ะก็จะต้องกำหนดรู้ทุกข์ ปล่อยวางในทุกข์ ทุกขเวทนาเกิดขึ้นที่ร่างกายสติระลึกรู้แล้วก็ดูจิต เหมือนกับว่าจะพยายามรักษาจิตไม่ให้จิตไปกระวนกระวายกับทุกข์ทางร่างกายเหมือนกับว่าปวดก็รู้อยู่ว่าปวดอยู่แต่ใจก็วางเฉยไม่เกร็งตัว ร่างกายไม่เกร็งเวลาปวด ถ้าเราเกร็งแสดงว่ายังไม่ปล่อยวาง

ต้องหัดปล่อยวาง คือปวดก็ยอมรับสภาพทุกสิ่งทุกอย่างโดยดุษฎีภาพ ไม่ฝืนไม่เกร็งตัวจิตใจก็ไม่ได้โอดครวญ ไม่ได้หวั่นไหว ไม่ได้เกร็งจิตใจอะไรลองทำเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น รับรู้อยู่ ปวดก็รู้อยู่แต่วาง.........ยอมรับ สติดูจิตใจ รักษาจิตใจ บางขณะมันก็ไปรู้ปวดแต่ก็ไม่ไปยึดอยู่ไม่ได้ไปจ้องอยู่ ดูจิตใจแล้วก็รู้สภาวะอื่น ๆ หัดทำอย่างนี้ไว้ ซึ่งเราก็อาจจะทำได้ระยะหนึ่ง พอกำลังของสติมันหมด กำลังก็อาจจะไม่ไหว แต่เราหัดทำไว้บ่อย ๆ บ่อย ๆ เราจะเก่งขึ้นจะมีความสามารถขึ้น จากความปวดระดับนี้ทำได้ปวดมากขึ้นทำไม่ไหว แต่ฝึกบ่อย ๆ ปวดมากก็ทำได้

จนกว่ามันเต็มที่กำลังสติมันก็มีจุดของมันเหมือนกัน นี่ถ้าเราฝึกแบบนี้บ่อย ๆ ละก็จะรู้สึกเหมือนกับมันแยก มันแยกกายแยกจิต กายก็ส่วนหนึ่ง ปวดก็ปวดรู้อยู่ที่ใจก็รับรู้อยู่ ก็จะรู้สึกว่าไม่ต้องทุกข์ทรมานทางจิตใจ จะเป็นประโยชน์ต่อเราเวลาเราเจ็บป่วยจริง ๆ ก็จะทำให้จิตใจรู้จักวาง รู้จักปรกติรู้จัก ไม่ถึงขนาดโอดครวญทางจิตใจร้องห่มร้องไห้ นี่เราฝึกจากการที่เรานั่งกรรมฐานน่ะ พอเรานั่งไปนาน ๆ ก็ปวด อย่างนี้ก็เป็นการปฏิบัติวิปัสสนา ปวดก็รู้ว่าปวด กำหนดดูจิตดูใจดูสภาวธรรมต่าง ๆ อื่น ๆ

บางท่านปฏิบัติไปก็อาจจะมีสมาธิมีปีติเกิดขึ้น ทำให้มีอาการต่าง ๆ เช่น ทำให้ตัวเบา ตัวโยกตัวโคลง ตัวสูงตัวใหญ่ ทำให้เสียวแปล๊บปล๊าบ ทำให้ขนลุก ทำให้น้ำตาไหล ตัวสูงตัวใหญ่ตัวพองขึ้น เหล่านี้เป็นอาการของปีติหรือมันเหมือนมันมีมดมากัดมีไรมาไต่ใบหน้าจี๊ด ๆ จ๊าด ๆ คัน ก็ให้รู้ว่ามันเป็นธรรมดา เป็นธรรมดาของการปฏิบัติแสดงว่าเรามีสมาธิมีปีติเกิดขึ้น วิธีดำเนินสติต่อไปก็คือรับรู้รับทราบด้วยความไม่ตื่นเต้นไม่ได้ยินดียินร้าย รู้ให้ทันควันกัน มันจี๊ดก็รู้จี๊ด มันไหวก็รู้ความไหว มันเบาก็รู้ความเบา และก็รู้ไปสู่จิตใจดูใจตัวเองว่ามันกำลังมีปีติดูอาการปีติ

ถ้าเราดูที่จิตใจอาการเหล่านั้นก็จะคลายตัวค่อย ๆ คลายตัว ส่วนที่เราดูว่าตัวมันสูงมันใหญ่มันพอง เพราะเราไปดูมันในรูปร่างสัณฐาน เราดูแบบสมมติ ก็จะต้องฝึกเข้าไปสู่ปรมัตถ์คือดูใน ๆ ดูความรู้สึก อย่าไปดูขยายเป็นรูปร่าง ถ้าขยายเป็นดูรูปร่างมันก็ดูตัวมันสูงมันใหญ่มันพอง แขนไปยังงั้น ขาไปยังงี้ มันเป็นสมมติ ดูความรู้สึกภายในดูจิตใจไม่เห็นเป็นรูปร่างตัวเอง ฉะนั้นต้องดูสภาวะในจิตในใจต่าง ๆ ก็จะทำให้เห็นลักษณะของจิตเห็นลักษณะของปีติ เห็นลักษณะของสภาวะมีความเกิด มีความดับ มีความเสื่อม มีความหมดไป มีสภาพไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน

อันนี้เราปฏิบัตินี่ก็คือต้องการให้เห็นความจริง ละความยึดถือความเห็นผิดที่เคยยึดถือว่าเป็นตัวเราของเรา เป็นของเที่ยงเป็นของสวยงาม เป็นสุขนี่ จะต้องถอนออก ถอนก็คือต้องรู้แจ้งแทงตลอดก่อน เข้าไปเห็นสภาวะจริง ๆ อ๋อ มันไม่เที่ยงจริง ๆ บังคับไม่ได้จริง ๆ เกิดดับ เป็นทุกข์จริง ๆ เห็นประจักษ์ด้วยจิตใจของตัวเอง มันก็จะถอนของมันเองอันจะเป็นทางของความดับทุกข์

ฉะนั้นวันนี้ได้บรรยายมาพอสมควรก็ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้ ขอความสุขความเจริญในธรรมจงมีแก่ทุกท่าน เทอญ 


ที่มา @ สำนักวิปัสสนากรรมฐาน วัดมเหยงคณ์ จ.พระนครศรีอยุธยา

No comments:

Post a Comment