Sunday, March 18, 2012

สิ่งเป็นเหตุเป็นปัจจัยต่อกัน ตอน 2 พระครูเกษมธรรมทัต (สุรศักดิ์ เขมรํสี)

แต่ความเป็นจริงมันไม่ใช่เราเลย  ไม่ใช่ของเราไม่ใช่ตัวเรา   สุขทุกข์มันก็เป็นเพียงเวทนาเป็นธรรมชาติ    ความสุขความทุกข์ก็คือธรรามชาติที่เกิดขึ้นสักแต่ว่าเป็นเวทนาที่ปรากฏในลักษณะอาการแห่งการไม่สบายกายหรือสบายกาย หรือดีใจหรือเสียใจหรือเฉย     มันเป็นเพียงเวทนา    ฉะนั้นต้องพิจารณาลงไปหยั่งรู้ลงไปในเวทนา เพื่อให้เห็นว่าเวทนาก็สักแต่ว่าเวทนา  ไม่ใช่เราไม่ใช่ตัวตนของเรา    สัญญาคือความจำ  ปุถุชนก็ไปสำคัญมั่นหมายว่าเป็นเรา  เราจำได้หมายรู้  เราจำรูปเราจำเสียงเราจำกลิ่น  เราจำรสเราจำสัมผัสได้    แต่เมื่อไปกำหนดพิจารณาให้ลงไปชัดเจนแยบคายในสัญญา ก็จะพบว่าสัญญานั้นก็เป็นเพียงสัญญา    สัญญาก็คือธรรมชาติที่เกิดดับหมดสิ้นไป   ไม่ใช่ตัวตนว่าเป็นเราเป็นของเราเลย

สังขารคือความปรุงแต่งในจิต ปุถุชนก็ยึดว่าเป็นเรา    ความชอบใจไม่ชอบใจ  ความรักความชัง  เหล่านี้เป็นสังขาร    สำคัญมั่นหมายว่าเราชอบใจเราไม่ชอบใจ เรากลัวเราฟุ้งเราสงบเราไม่สงบ  เราโลภเราโกรธเราหลง  เป็นตัวเราไปหมด  เป็นของเราไปหมด    แต่ความจริงมันหาใช่เป็นเราเป็นของเราไม่    ความโกรธก็เป็นธรรมชาติที่ไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา  ความโลภความหลง  ชอบใจไม่ชอบใจนี่    ถ้าพิจารณาไปจริง ก็จะเห็นว่ามันไม่ใช่เราจริง เพราะว่ามันมีแล้วก็สลายลง มีแล้วก็หายไป มีแล้วก็ปรากฏ   จะเอามาเป็นแก่นเป็นสาระเป็นสิ่งมั่นคงถาวรไม่ได้   แต่ถ้าไม่ได้พิจารณาแล้วมันเป็นตัวเป็นตนขึ้นมาทันที

วิญญาณคือสภาพรู้อารมณ์  ปุถุชนก็ไปยึดวิญญาณเป็นเรา  จิตนี่เป็นเรา  เราคิดเรานึกเราเห็นเราได้ยินเรารู้กลิ่นเรารู้รส   ตัวที่รู้อารมณ์น่ะมีความสำคัญมั่นหมายว่าเราเป็นเราเป็นของเรา    แต่ความเป็นจริงไม่ใช่    วิญญาณก็สักแต่ว่าวิญญาณ   เป็นธรรมชาติที่เกิดดับเปลี่ยนแปลงไม่มีแก่นสาระแห่งความเป็นตัวเป็นตน

ตานี้จะเห็นตามความเป็นจริงว่ามันไม่ใช่ตัวตน  ไม่ใช่เราไม่ใช่ของเราได้    ก็ต้องมีญาณปัญญาเข้าไปหยั่งรู้  ต้องมีปัญญาเข้าไปหยั่งรู้  คือดูเข้าไป  ดูลงไปที่รูปที่เวทนาที่สัญญาสังขารวิญญาณเหล่านี้   ดูไปเรื่อยๆ ดูไปบ่อยๆ บ่อยๆ จนเห็นชัดตามความเป็นจริงว่า  อ๋อ  มันไม่ใช่เราจริง    เพราะอะไร   เพราะว่ามันบังคับไม่ได้ มันเกิดมันดับอยู่  มันไม่เที่ยงมันเปลี่ยนแปลงอยู่ทุกอย่าง   ตานี้ถ้าไม่มีปัญญาญาณมันก็ไม่เห็นความเกิดดับมันก็ตื้อตึงอยู่อย่างนั้นแน่ะ  เป็นแท่งเป็นก้อนเป็นกลุ่มเป็นก้อน  เป็นของเที่ยงอยู่อย่างนั้น    ความสำคัญมั่นหมายมันว่าเป็นเรา   เป็นเราเป็นของเรา  กิเลสต่าง เกิดขึ้น    มันต้องพิจารณาเห็นให้แยบคายลงไป  ชัดเจนลงไปว่ามันไม่ได้เป็นกลุ่มเป็นก้อนเป็นแท่งเป็นก้อนอะไร  กระจายลงไป

          เราเจริญสติกำหนดรู้ลงไปที่กายนี่ต้องแยกย่อยลงไป   สัมผัสสัมพันธ์ไปทุกส่วนในกายก็จริง   แต่ว่าไม่ให้เห็นเป็นกลุ่มเป็นก้อน  เป็นพืดเป็นแผ่น  เป็นท่อนแขนท่อนขาหน้าตา   แต่ให้รู้ลึกซึ้งลงไปถึงความรู้สึกเพียงตึงๆ หย่อนๆ ไหวๆ เย็นๆ ร้อนๆ มีอยู่     กระทบสัมผัสเป็นจุดย่อยๆ ที่กาย     ดูไปๆ จะเห็นว่าความเป็นรูปร่างสัณฐานเป็นแขนเป็นขาเป็นหน้าเป็นตา  เป็นรูปร่างสัณฐานมันไม่มีแล้ว     ที่มันมีอยู่เพราะมันมีการนึกคิดอยู่  มันมีสำคัญมั่นหมายอยู่  พอสติสัมปชัญญะสัมผัสกับสภาวปรมัตถ์    สัมผัสอยู่แค่ความรู้สึก  มันเย็นมันร้อน  มันอ่อนมันแข็ง  มันหย่อนมันตึง  มันรู้สึกสบายไม่สบาย    ดูความรู้สึกสบายไม่สบายแต่ไม่ฉายออกไปสู่ความเป็นรูปร่าง  ไม่มีท่อนแขนท่อนขาหน้าตา    อ้าว  นี่มันก็เริ่มจะคลายจากความเป็นกลุ่มเป็นก้อนเป็นตัวเป็นตน

          คณสัญญาความจำเป็นกลุ่มเป็นก้อนมันจะบังอนัตตาไว้    ตราบใดที่ยังไปดูเป็นแท่งเป็นก้อนเป็นท่อนเป็นสัณฐานอยู่  ก็ทำลายความเป็นตัวตนไม่ได้     มันบังอนัตตา  ก็เห็นเป็นอัตตาเป็นอัตตาเป็นตัวตน    เพราะมันมีสัญญาวิปลาสความจำที่คลาดเคลื่อนมาแต่ไหนแต่ไร  จำเป็นแท่งเป็นก้อนเป็นกลุ่ม  เป็นสัณฐานเป็นตัวเป็นตนอยู่

          การปฏิบัติมันก็ต้องมาปฏิวัติใหม่    อย่าคล้อยตามสัญญาเก่าที่มันจำอยู่    กำหนดต้องกำหนดรับรู้เข้าไปสู่ส่วนย่อยในกาย  ไปรับความรู้สึกย่อยลงไป  โดยไม่ต้องเห็นเป็นสัณฐาน  ไปรับความเย็น    ความเย็นมันก็ไม่มีตัวตนเป็นสัณฐาน    ความร้อนมันก็มีจริงแต่ว่ามันไม่เป็นสัณฐานเป็นรูปร่าง    ความตึงความหย่อนมันก็มีแต่มันไม่ได้เป็นรูปร่างสัณฐาน    ไอ้รูปร่างสัณฐานมันจอมปลอม  มันเป็นของปลอมแล้วมันสัญญาจำวิปลาสเป็นแท่งเป็นก้อนไป     ฉะนั้นกำหนดให้จดสภาวปรมัตถ์ คือ รับรู้แต่ความรู้สึก   ความรู้สึกที่มันสบายไม่สบายแต่ไม่ฉายออกเป็นรูปร่าง  ไม่ฉายออกเป็นความหมายรู้แค่รู้แต่ความรู้สึก  ความตึงความหย่อน  ความเย็นความร้อน  อ่อนแข็ง ที่มีทุกส่วนที่ร่างกาย    ทำลายออกไปจากความเป็นสัณฐาน    ดูไปแล้วแขนขาหน้าตาอวัยวะต่างๆ หายไป  ไม่มี    ไม่มีสังขารที่เป็นแท่งเป็นก้อนเป็นรูปร่างนั่งอยู่   นั่งก็ไม่มีมันมีแต่ความรู้สึก    ความไหว ความตึง ความเย็นความร้อนอ่อนแข็งไม่ใช่ตัวตน    ไม่ใช่ความหมายว่านั่ง     แล้วก็ดูไปถึงสัญญาความจำ  สังขารความปรุงแต่งในจิต  วิญญาณธาตุรู้  ซึ่งปรากฏอยู่ทุกขณะนี้    ในขณะนี้มีความจำไหม  มีความนึกคิดไหม  มีความปรุงแต่งไหม    เดี๋ยวมันตรึกมันนึกมันวิพากษ์วิจารณ์  มันคิดมันนึก  มันชอบใจมันไม่ชอบใจ  มันสงบมันไม่สงบ

          สิ่งเหล่านี้เมื่อดูไปพิจารณาไปแล้วจะเห็นว่า มันเกิดมันดับ   มันมีมันหาย  มันมีมันหายมันมีมันเสื่อมมันสิ้นไป   ปรากฏแล้วก็หายไป  ปรากฏแล้วก็หายไป    มันไม่มีตัวตน  ดูไปที่จิตใจ  นี่มันไม่มีตัวตน  มันไม่มีสัณฐานไม่มีสรีระรูปร่าง    มันไม่มีแก่นแท้ที่จะคงที่ถาวรจับต้องตั้งอยู่บังคับอยู่ได้  มันไม่มี    มันเป็นเพียงแต่ปรากฏ มีแล้วก็หายไป    จะให้มันเป็นจริงเป็นจังเป็นตัวเป็นตนมันไม่มี    เป็นเพียงสภาพที่ปรากฏแล้วก็หายไป  ปรากฏแล้วก็หายไป  วิญญาณน่ะพอสติไประลึกไปรู้ปุ๊บ   อ้าว  รู้ได้นิดนึงก็หมดไปแล้ว  ธาตุรู้น่ะ    พอไปรู้ที่ธาตุรู้  รู้แล้วก็หายไป  ถ้าเผลอมันก็รู้สึกว่าแหมเป็นตัวเป็นตนเลย    จิตนี่ตัวรู้ตัวนึกตัวคิดนี่  ถ้าไม่ได้ดูมันเหมือนกับเป็นตัวเป็นตนเป็นเรา  เรารักเราชังเราชอบเราไม่ชอบ  เป็นใหญ่เป็นโตเลย    แต่เมื่อดูไปจริง มันไม่มี  ไม่มีแก่นสาระตั้งอยู่คงอยู่    มันรู้แล้วมันก็หาย  รู้แล้วก็หาย    แต่มันเกิดมันดับสืบต่อกันอยู่    อันนี้เกิดอันนี้จึงเกิดอันนี้ก็เกิดอันนี้ก็เกิด  มันสืบต่อเป็นปัจจัยกัน     อันนี้เกิดเป็นปัจจัยให้อีกอันหนึ่งมีเกิด   อันนี้ดับอันนี้ก็ดับไป  อันนี้เกิดอันนี้ดับ

          รวมความว่ามันไม่มีอะไรที่คงที่ถาวรเที่ยงแท้มีแต่สภาพธรรมที่หมดสิ้นไป   ดับไปสิ้นไป  ถ้าเห็นอย่างนี้เรียกว่าวิปัสสนาญาณได้เกิดขึ้น  ญาณได้เกิดขึ้น    ญาณะคือปัญญาความรู้ความเห็นความแจ้งได้เกิดขึ้นแล้ว    ปัญญาได้เกิดขึ้นแล้ว  ญาณได้เกิดขึ้นแล้ว  จักษุได้เกิดขึ้นแล้วเห็นสภาพตามความเป็นจริงขึ้น    ก็จะถอนความยึดถือ ความสำคัญมั่นหมายแห่งความเป็นตัวตนเป็นเราเป็นเขาออกไป

          ฉะนั้นการประพฤติปฏิบัตินั้นจึงเป็นเรื่องที่ทำอยู่กับตัวเราเอง  ทำอยู่กับร่างกายจิตใจนี้เองไม่ได้ทำที่ไหน     แล้วก็ทำได้ทุกขณะ  กำลังยืนก็มีอยู่อย่างนี้  กำลังนั่งก็มีรูปนามอยู่อย่างนี้  กำลังนอนก็มีรูปนามอย่างนี้  กำลังคู้เหยียดเคลื่อนไหวมันก็มีรูปนามอยู่  กำลังกินกำลังถ่ายกำลังนุ่งห่มเสื้อผ้ามันก็มีอยู่อย่างนี้    มีรูปมีนามเป็นเหตุเป็นปัจจัย  มีผัสสะกระทบ  เดี๋ยวเห็นเดี๋ยวได้ยินเดี๋ยวรู้กลิ่นรู้รสรู้สัมผัสคิดนึก    ทำสติหยั่งรู้เข้าสู่ภายใน ภายนอกมันก็ทำไป     แต่สติ สัมปชัญญะ  เรียกว่าสัมผัสภายใน   กายที่เคลื่อนไหวแต่ว่ามีสติรับรู้ความรู้สึกเคลื่อนไหว   รู้ใจที่รับรู้นั่งอยู่สติก็ไปรับรู้ภายในไปรู้ความรู้สึก   ไปรู้ที่ใจที่รับรู้    นอน สติสัมปชัญญะก็ไปรับรู้ความรู้สึกที่กาย  รับรู้ความรู้สึกที่จิตใจ  รับรู้ตัวรู้    ยืน สติสัมปชัญญะก็ไปรู้ที่ความรู้สึกที่กายที่ยืน  รู้จิตใจอยู่มันก็มีอย่างนี้     จะยืนจะเดินจะนั่งจะนอนมันก็มีสภาวะ  มีรูปมีนามเป็นเหตุเป็นปัจจัยเกิดดับเปลี่ยนแปลงอยู่อย่างนี้

          ฉะนั้นธรรมะพระพุทธเจ้าจึงตรัสว่าเป็นอกาลิโก    ปฏิบัติได้และให้ผลได้ไม่จำกัดกาลปฏิบัติได้ทุกขณะ รู้แจ้งได้ทุกขณะ     ถ้าหากว่ามีปัญญาหยั่งรู้เห็นในขณะนั้น  ผลก็เกิดขึ้นในขณะนั้น   ทำกรรมฐานเจริญวิปัสสนาจึงต้องทำทุกขณะ   พยายามใส่ใจพยายามกำหนดพยายามพิจารณา  เดินไปที่ไหนก็ตาม  นั่งอยู่ที่ไหนก็ตาม  นอนอยู่ที่ไหนก็ตาม    กำลังทำอะไรอยู่ก็ตาม  พยายามใส่ใจด้วยสติสัมปชัญญะ พิจารณาลงไปในกระแสของธรรม    เห็นสภาวะรูปนามเปลี่ยนแปลงเกิดดับอยู่ทุกขณะ    นี่แหละเป็นทางแห่งความดับทุกข์

          วันนี้ก็คงจะพอสมควรแก่เวลาก็ขอยุติการปรารภธรรมะไว้เพียงเท่านี้    ขอความสุขความเจริญในธรรมจงมีแก่ทุกท่าน  เทอญ


ที่มา @ http://www.watmahaeyong.net

No comments:

Post a Comment