Sunday, April 22, 2012

เริ่มทำวิปัสสนากันอย่างไร?

นักวิปัสสนาที่ดีจะเริ่มต้นด้วยการทำความเข้าใจที่ถูกต้อง ซึ่งหมายความว่าถ้าใครอ่านบทที่ ๑
ไปแล้ว และตอนนี้คุณตอบได้ว่าวิปัสสนาคืออะไรเหมือนที่สรุปไว้ตอนท้ายของบท ก็ถือว่าคุณออกเดิน
ก้าวแรกแล้วเรียบร้อย

คนไทยส่วนใหญ่เข้าใจว่าการทำวิปัสสนาคือการนั่งหลับตาปั้นหน้าขรึม หรือการเดินจงกรมที่
ข้างกำแพงวัด อันนั้นเป็นเพียงภาพส่วนย่อยที่อาจจะเด่นหน่อย ไม่ใช่ภาพรวมทั้งหมด วิปัสสนาที่
แท้จริงของผู้ช่ำชองนั้น อาจทำกันขณะกำลังนั่งเอาตะเกียบพุ้ยข้าวเข้าปากก็ได้หรือหลังจากเพิ่งแหก
ปากหัวเราะท้องคัดท้องแข็งเสร็จก็ได้หรือกระทั่งน้ำตาอาจจะยังไม่ขาดสายก็ได้เมื่อใดมีสติรู้ตามจริง
ขึ้นมาว่าสิ่งที่กำลังปรากฏมีความไม่เที่ยง เป็นของที่บังคับดังใจไม่ได้ เมื่อนั้นเองที่เรากำลังอยู่
ในวิปัสสนาม

ลองนึกถึงคำว่า ‘ได้สติ’ ดู คำนี้ทำให้คุณนึกถึงอะไร? ขอให้เอาตัวอย่างจากชีวิตประจำวันของ
ตัวเอง บางคนอาจนึกถึงการเหม่อลอยขณะขับรถ ก่อนจะเหม่อจนพารถตกถนนก็เกิดสติว่ากำลังขับรถ
เลิกวาดวิมานในอากาศหรือหมกมุ่นครุ่นคิดถึงเรื่องนอกถนนเสียได้ เป็นต้น ที่บรรทัดนี้ของหนังสือเล่มนี้
ขอให้คุณนึกให้ออกว่าการ ‘ได้สติ’ สำหรับคุณหมายถึงสิ่งใด มันอาจหมายถึงการรู้สึกตัวว่าขณะนี้คุณ
กำลังอ่านหนังสือ และตั้งคำถามถามตนเองอยู่ก็ได้

แต่ในขณะที่คุณได้สติรู้สึกว่ากำลังขับรถ หรือได้สติรู้สึกว่ากำลังถูกถามให้ย้อนคิด คุณยังไม่รู้
ว่าจะดูตรงไหน จึงจะเห็นว่ามันเป็นของไม่เที่ยง ของควบคุมไม่ได้

อย่างนั้นเรามาดูสาธิตกันเดี๋ยวนี้เลย เอาความรู้สึกว่าไม่รู้จะดูตรงไหนนั่นแหละมาใช้ถ้า
หากคุณรู้สึกงงๆ สงสัย ตั้งคำถาม หรือคิดควานหาคำตอบอยู่ล่ะก็ ขอแสดงความยินดีด้วย เพราะ
ความรู้สึกนั้นแหละที่เราต้องการ

สภาพงงๆ ตื้อๆตันๆ ไม่รู้จะดูอะไร สงสัยว่าทำกันท่าไหนนี้ทางวิปัสสนาเรียกว่าเป็นเครื่อง
ขวางความก้าวหน้าหรือ ‘นิวรณ์’ ชนิดหนึ่ง แต่พระพุทธเจ้าท่านก็ให้หลักวิธีจัดการไว้คือให้มีสติรู้ตาม
จริงว่าจิตของเรากำลังตกอยู่ในสภาพถูกครอบงำด้วยความสงสัย ขณะของการรู้ว่ากำลังสงสัยนั่นเอง
เรียกว่าเกิดสติรู้ตามจริงขึ้นมานิดหนึ่งแล้ว คือรู้ว่ามีภาวะชนิดหนึ่งปรากฏอยู่

แต่ที่จะเห็นจริงแบบหลุดจากการครอบงำของความสงสัยได้นั้น ไม่ใช่แค่เห็นลักษณะความสงสัย
ตั้งอยู่เท่านั้น คุณต้องเห็นลักษณะการหายตัวไปของความสงสัยด้วย

คำถามคือทำอย่างไรสภาวะสงสัยจึงหายไป คำตอบคือให้หายใจทีหนึ่ง ทันทีที่คุณบอกตัวเอง
ได้ว่าคุณกำลังหายใจเข้าหรือหายใจออก แปลว่าวินาทีนั้นความสงสัยหายไปแล้ว และถูกแทนที่
ด้วยสติรู้ว่ากำลังหายใจเข้าหรือหายใจออก เมื่อสติหลุดจากความรับรู้ลมหายใจ ความสงสัยหรือใคร่
รู้ก็จะกลับมาอีก ตรงนี้คือจุดให้สังเกตความต่างระหว่างภาวะสงสัยกับไม่สงสัยได้
ณ วินาทีที่คุณบอกตัวเองว่ากำลังหายใจเข้าหรือหายใจออกได้นั้นเอง ให้สำรวจดูเถิด ภาวะเดิม
คือความสงสัยที่กระเดียดไปในทางอึดอัดเป็นทุกข์จะแปรเป็นภาวะใหม่คือความหมดพะวงอันกระเดียด
ไปในทางปลอดโปร่งเป็นสุข เพียงเมื่อเห็นว่าภาวะที่กำลังสงสัย กับภาวะหายสงสัยชั่วคราว
แตกต่างกันอย่างไร ก็เรียกว่ามีสติแบบวิปัสสนาอย่างอ่อนๆแล้ว ทั้งนี้เนื่องจากความรู้สึกว่าเมื่อกี้
จิตเป็นอย่างหนึ่ง ตอนนี้จิตเป็นอีกอย่างหนึ่ง ก็คือการเห็นจิตในอดีตผ่านล่วงไปแล้ว จบไปแล้ว
แปรปรวนไปแล้ว ไม่ใช่ปัจจุบันแล้ว ซึ่งตามธรรมชาตินั้น เมื่อจิตเห็นสิ่งใดหายไป ย่อมไม่สำคัญว่า
สิ่งนั้นเป็นตน

ตรงนี้น่าสนใจ คือน่าสังเกตว่าแล้วจิตเห็นสิ่งใดเป็นตน? คำตอบก็คือสภาพที่กำลังเป็น
ปัจจุบัน กำลังปรากฏเฉพาะหน้าอยู่นี่เอง อย่างเช่นเมื่อเปรียบเทียบภาวะสงสัยกับภาวะไร้ความสงสัย ก็
จะเห็นอาการที่จิตเลิกเกี่ยวข้องพะวงกับความสงสัยอันเป็นอดีตไปแล้ว แต่กลับมายึดมั่นความไม่
สงสัยในปัจจุบันเป็นตัวเป็นตนแทน

ถ้าเข้าใจตรงนี้ชัดเจน รวมทั้งสังเกตออกว่าอะไรคือภาวะในปัจจุบันที่เรากำลัง ‘เข้าใจผิด’ หรือ
‘มองไม่เห็นตามจริง’ ก็ถือว่าคุณเข้าใจหลักพื้นฐานของวิปัสสนาชัดเจนพอสมควรแล้ว
ลำดับต่อไปที่ต้องรู้ก็คือ มีอะไรในตัวเราให้ดูบ้าง? คำตอบคือทั้งหมดที่เป็นส่วนของกาย และ
ทั้งหมดที่เป็นภาวะทางใจ ล้วนแล้วแต่ถูกรู้ด้วยสติแบบวิปัสสนาได้ทั้งสิ้น

แต่บอกแค่นี้ก็จะงงอีก คืองงว่าจะดูกายใจทั้งหมดได้อย่างไร เหมารวมทีเดียวเลยหรือ?
คำตอบคือให้แยกดูเป็นส่วนๆก่อน เพราะการเห็นทั้งหมดในคราวเดียวไม่มี และเป็นไปไม่ได้จึงควรดู
เท่าที่จะสามารถดูได้เท่านั้นพอ

คราวนี้อาจเป็นคำถามสำคัญที่สุด คือจะดูส่วนไหนก่อนดี? พระพุทธเจ้าท่านสอนให้ดูลม
หายใจมากที่สุด เพราะลมหายใจเป็นที่พึ่งได้เป็นตัวฉุดสติได้ เป็นตัวเลี้ยงสติได้อีกทั้งเป็นตัวทำให้เกิด
สติเห็นความไม่เที่ยงตามจริงได้ด้วย

อย่างที่เคยกล่าวไว้ก่อน คือแค่เรารู้ธรรมดาๆว่ากำลังหายใจเข้าหรือหายใจออก ตรงนั้นเรียกว่า
มีสติเมื่อใดมีสติเมื่อนั้นความสงสัยและความฟุ้งซ่านย่อมถูกแทนที่ได้ชั่วคราว ดังนั้นจึงน่าปลูกฝัง
ความพอใจในการรู้ทันว่ากำลังหายใจเข้าหรือหายใจออกให้มาก เพื่อแย่งพื้นที่ของจิตเอามา
ให้กับสติมากกว่าการปล่อยให้ความสงสัยและความฟุ้งซ่านครอบครองไป

เมื่อใดใจฝักใฝ่อยู่กับลมหายใจ คุณจะรู้สึกว่าอาการ ‘หลุดหายไปจากโลก’ นั้นกินเวลาสั้นลง
และจิตอยู่ในสภาพพร้อมจะไปรู้รายละเอียดส่วนอื่นๆของกายใจมากขึ้นเรื่อยๆ
ปัญหาสำหรับคนส่วนใหญ่คือไม่สามารถปลูกฝังความพอใจ หรือกระทั่งเตือนสติให้ตนเองเข้ามา
รู้ลมหายใจหรือรายละเอียดอื่นๆในกายใจได้ง่ายดายนัก บทต่อไปจะเสนออาวุธที่จะใช้ในการขจัด
อุปสรรคข้อนี้

สรุป

การเริ่มลงมือทำวิปัสสนานั้นไม่ใช่เรื่องยาก แค่ทันทีที่เข้าใจว่าจะให้กำหนดจิตดูอะไร ขณะนั้นก็
ถือว่าใช่แล้ว เช่นเปรียบเทียบให้เห็นภาวะต่างระหว่างความสงสัยกับความไม่สงสัยเป็นต้น เครื่องทุ่น
แรงที่จะเอาคุณออกจากจุดเริ่มต้นได้คือลมหายใจ ขอเพียงมีสติรู้ลมหายใจแค่ทีเดียว ก็เปรียบเหมือน
ผนังกั้นแบ่งภาวะสงสัยกับภาวะไม่สงสัยแยกเป็นต่างหากจากกันให้รู้ได้ง่ายแล้ว บทต่อๆไปจะกล่าวถึง
อุบายเบื้องต้นเพื่อทำวิปัสสนาให้ได้ต่อเนื่อง และเราจะฝึกกันระหวางอ่านหนังสือนี่เลยทีเดียว!



เขียนโดย ดังตฤณ

 



No comments:

Post a Comment