Sunday, April 22, 2012

วิปัสสนาคืออะไร?

ถ้าจะเอาเป็นคำแปล วิปัสสนาแปลได้หลายแบบ แต่ถ้าถามว่าวิปัสสนาคืออะไร เอาคำตอบชนิด
สื่อใจถึงใจ ก็ต้องว่าวิปัสสนาคือ ‘เห็นตามจริง’

ลองนึกดู คำว่า ‘เห็นตามจริง’ ทำให้คุณมีปฏิกิริยาทางความรู้สึกเป็นอย่างไร? คุณนึกถึงอะไร
จากการอ่านคำว่า ‘เห็นตามจริง’ บ้าง?

หนังสือเล่มนี้เขียนเป็นภาษาไทย คุณอ่านภาษาไทยออก นี่คือข้อเท็จจริงที่ใครก็ปฏิเสธไม่ได้
ฉะนั้นถ้าบอกว่าคุณกำลัง ‘คิดเป็นภาษาไทย’ ก็ย่อมถูกต้องตามจริง ใครเข้าใจว่าตัวเองกำลังคิดเป็น
ภาษาไทย ก็ขอแสดงความยินดีด้วย คุณเข้าใจถูกแล้ว คุณกำลังเห็นตามจริงแล้ว

แต่ถ้าถามว่า ‘คุณเป็นคนไทยหรือเปล่า?’ ตรงนี้อาจเริ่มยากกว่าคำถามข้อก่อน เพราะมัน
ขึ้นอยู่กับมุมมองว่าคุณถือตัวเองเป็นคนชาติไหน ถ้ามีใครบังคับให้คุณยอมรับว่าเป็นไทย ในขณะที่
ใจอยากคิดว่าเป็นคนจีนหรือมีเชื้อสายจีนเข้มข้นกว่า อย่างนี้แปลว่าต้องนั่งเถียงกันแล้ว และไม่ว่าใครจะ
งัดเอาเหตุผลหรือหลักฐานสนับสนุนความคิดตัวเองมายันกันยกใหญ่ปานใด ก็สรุปที่จุดเดียวคือเชื่อ
อย่างไรก็มีความจริงอยู่อย่างนั้น

คำถามคือ ในเมื่อความจริงผูกอยู่กับความเชื่อ อย่างนี้การเห็นตามจริงที่แท้ก็ไม่มีน่ะซี? นี่มิ
แปลว่าเรากำลังอยู่กับความจริงที่สร้างขึ้นเองมาตลอดหรอกหรือ? ต่างคนต่างอยู่ในโลกความจริง
เฉพาะเขตของตัวเองโดยไม่อาจล้ำเส้นกันอยู่อย่างนั้น

การเถียงกันว่าอะไรจริงอะไรเท็จจะไม่ได้ข้อยุติหากปราศจากจุดมุ่งหมาย เพราะฉะนั้นเมื่อ
กล่าวถึงการเพียรพยายามประพฤติตนเพื่อเห็นความจริง ก็ต้องถามต่อด้วยว่า ‘เห็นไปเพื่ออะไร?’ บาง
ความจริงเช่นเรื่องเชื้อชาติอาจมีความหมายแค่ทำให้รู้สึกว่า ‘ฉันเป็นคนละพวกกับเธอ’ หรือ ‘ข้ามันคน
ละชั้นกับเอ็ง’ หนักกว่านั้นอาจลามล้ำไปถึงขั้นต้องพยายามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์หรือเบาะๆคือมีความคิด
เหยียดผิวอยากทำร้ายกันอยู่ในปัจจุบัน

จุดหมายของวิปัสสนานั้น คือเห็นตามจริงเพื่อเป็นอิสระจากอุปาทานลวงใจทั้งปวง เป็นไทแก่ตัว
ไม่ถูกครอบงำด้วยอำนาจมืดของความหลงผิด เราจะไม่ตระหนักว่าอันตรายของความหลงผิดมีมากมาย
ปานใดจนกว่าจะต้องทุรนทุรายทรมานกับผลลัพธ์บางอย่างที่สร้างขึ้นมาเอง จะดีกว่าไหมถ้าเราสามารถ
ไปถึงความจริงของชีวิต เช่น เราไม่จำเป็นต้องรบกันเพราะความเชื่อ หรือ เราไม่ต้องทุกข์เพราะ
ความคิดก็ได้และย่อยมาถึงเรื่องดาษๆประจำวันเช่น แค่ทิ้งงานไว้ที่ออฟฟิศก็ไม่ต้องคิดเครียด
มาถึงบ้านแล้ว

นได้ก็ไม่ต้องทนทุกข์เพราะเรื่องไม่เป็นเรื่อง ทีนี้มาถึงคำถามสำคัญว่าการเห็นตามจริงนั้น จะ
เอาอะไรเป็นเป้าหมายในการเห็น? คงทำนองเดียวกับเรารู้แล้วว่ากำลังจะรบทัพจับศึกเพื่อพ้นจาก
การเป็นทาส แต่ศัตรูคือใครล่ะ? พวกเขาอยู่ที่ไหนล่ะ? เราจะเจอได้เมื่อไหร่ล่ะ?

คำตอบสำหรับผู้ใคร่คิดทำวิปัสสนาที่บ้าน เป้าหมายของการดูให้เห็นตามจริงก็คือทุกสิ่งที่
ทำให้เราหลงไปยึดมั่นถือมั่นโดยไม่จำเป็น อะไรบ้างที่ไม่จำเป็น แต่กลับทำร้ายเราได้ราวกับศัตรู?
ลองถามตัวเองว่าเคยมีประสบการณ์ทำนองนี้บ้างหรือไม่

เคยไหมที่เราเสียท่าใครให้เขาโกงเงินไม่กี่บาท แต่ต้องเก็บมาคิดหนักไม่เลิก เรียกว่าถูกคนอื่น
โกงเงินไม่พอ ยังโดนความคิดของตัวเองปล้นความสุขไปอีก?

เคยไหมที่ตกลงเลิกรักเลิกเป็นแฟนกันแล้ว แต่อุตส่าห์คิดหึงหวงคนรักเก่า คิดถึงอดีตด้วยความ
เสียดาย คิดพะวงไปว่าเขาจะมีความสุขกับใครอื่นอย่างไรบ้าง?

เคยไหมที่เชียร์ฝ่ายหนึ่ง แต่อีกฝ่ายดันชนะ ซึ่งเท่ากับผลักให้เรากลายเป็นผู้แพ้ไปด้วย ทั้งที่คิด
ดีๆแล้วเราไม่มีส่วนได้ส่วนเสียกับฝ่ายปราชัยเลยแม้แต่น้อย?

คำถามข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่างที่อาจแสดงให้ตระหนักว่าคนเรายึดมั่นกับเรื่องไม่เป็นเรื่องจน
ทุกข์หนักได้อย่างเหลือเชื่อเพียงใด แต่ความจริงอันน่าตระหนกก็คือแต่ละวันเราอาจยึดมั่นสิ่งที่ไม่
จำเป็นไว้ถึง ๙ เรื่องจากทั้งหมด ๑๐ เรื่อง

บางครั้งบางคราวคุณอาจยอมรับกับตนเองหรือบ่นกับใครๆว่าโง่เหลือเกินที่ย้ำคิดย้ำกลุ้มกับ
เรื่องเหลวไหลไร้สาระหรือเรื่องขี้ปะติ๋ว แต่รู้ทั้งรู้ว่าโง่ก็หยุดคิดไม่ได้ เอามันไม่อยู่ กู่สติไม่กลับ
ขอเพียงรู้จักวิปัสสนาอย่างแท้จริง การรู้จักนิยามของวิปัสสนาอย่างแท้จริงคือก้าวแรก และก้าว
แรกก็คือการยอมรับตามจริงผ่านการใคร่ครวญด้วยความคิดธรรมดาๆ ว่าสิ่งใดควบคุมให้
เป็นไปตามปรารถนาไม่ได้ สิ่งนั้นย่อมไม่ชื่อว่าเป็นของเรา ยกตัวอย่างเช่นเมื่อยอมรับว่าความคิด
ไม่ใช่ของเรา เราจะรู้สึกตัวเหมือนถอนออกมาจากทุกข์ร้อนเพราะความคิดกว่าครึ่ง และส่งผลให้
ความคิดอ่อนกำลังลงทันที

เหมือนเส้นผมบังภูเขา และเหมือนเรื่องน่าขบขันที่พวกเราอ่านไม่ออก ตามเกมไม่ทัน พอตาม
ไม่ทันก็กลายเป็นเหยื่ออันโอชะของโลกนี้ผู้คนทั้งหลายหายใจเข้าออกเพื่อรับใช้กิเลสอันก่อเหตุให้ทุกข์
มากทุกข์น้อย และอาจจะตายตาไม่หลับไปพร้อมกับทุกข์ที่กัดกินหัวใจมาตลอดชีวิต ต่อเมื่อรู้จักนิยาม
ของวิปัสสนา และเห็นว่าเพียงเปลี่ยนมุมมองชีวิตเสียใหม่ตามหลักวิปัสสนา ก็ไม่ต้องย้ายร่างไป
ที่ไหน ไม่ต้องทำพิธีรีตองอันใด ความสุขก็ปรากฏขึ้นแทนที่แล้วขณะยังมีลมหายใจ ก่อนจะตาย
ไปพร้อมกับความไม่รู้และต้นเหตุทุกข์ครั้งใหม่ๆ


สรุป
วิปัสสนาคือการเห็นตามจริง ว่าทุกสิ่งทั้งข้างนอกและข้างในเราไม่เที่ยง บังคับควบคุมให้เป็นไป
ตามอยากไม่ได้ เพื่อปล่อยวางจากความยึดมั่นถือมั่นผิดๆ พ้นจากอุปาทานครอบงำให้ทุกข์ใจกับเรื่องที่
ไม่ควรเป็นธุระของเรา หน้าที่ของผู้ปฏิบัติวิปัสสนาคือแค่เปลี่ยนมุมมองเสียใหม่ จากนักเรียกร้อง นัก
ต่อสู้บูชาตัณหา และนักสำคัญตัวผิด มาเป็นคนดู คนรู้คนต่อสู้เพื่อบูชาความจริงตามสิ่งที่ปรากฏแสดง
เสียแทน


 




No comments:

Post a Comment