Sunday, April 22, 2012

เรื่อง ... ปฏิกิริยาทางใจ

อยู่ในเมือง คนมีอาชีพหาเงินทองเลี้ยงปากเลี้ยงท้องครองชีวิตปกติธรรมดานั้น ที่จะไม่เกิดเรื่อง
กระทบใจเลย เป็นอันว่าหมดหวัง

แต่การที่จำเป็นต้องมีเรื่องกระทบใจนั้นเอง ทำให้เราหวังใหม่ได้ว่าจะใช้มันเป็นส่วนหนึ่งของ
เครื่องมือวิปัสสนา เพราะหลักการหนึ่งของวิปัสสนานั้น คือให้ดูว่าปฏิกิริยาทางใจเป็นของเกิดขึ้น
ชั่วคราว เกิดแล้วต้องดับลงเป็นธรรมดา บังคับบัญชาให้อยู่หรือไปทันใจไม่ได้ เพราะมันไม่ใช่
สมบัติของเรา ต่างจากหลอดไฟที่กดปุ่มก็สว่างขึ้นหรือมืดลงตามปรารถนา
ถ้าไม่มีเรื่องกระทบใจให้เกิดปฏิกิริยาทางใจ ก็แปลว่าขาดเครื่องมือเจริญวิปัสสนาในส่วนนี้ไป
ฉะนั้นแทนที่จะหน้าหม่นทนรับเรื่องกระทบ ก็ขอให้ดีใจในความเป็นชาวบ้านธรรมดาคนหนึ่งที่ได้
เครื่องมือแบบนี้มา

ตามหลักวิปัสสนา คุณต้องทราบว่าปฏิกิริยาทางใจไม่ใช่ของเกิดขึ้นลอยๆ เพราะมันไม่มี
ตัวตนอยู่ก่อน แต่เป็นผลที่เกิดจากการกระทบกันระหว่างใจกับ ‘อะไรอย่างหนึ่ง’ ที่เป็น
ต่างหากจากใจ อย่างเช่นอักษรบรรทัดปัจจุบันนี้จัดเป็นเครื่องกระทบใจชนิดหนึ่ง ตราบใดที่สายตาคุณ
ยังกวาดไปเรื่อย และรู้เห็นว่าหนังสือพูดอะไรกับคุณ

คุณจะเข้าใจคำว่า ‘อะไรอย่างหนึ่ง’ ที่เป็นต่างหากจากใจนั้นได้ชัดขึ้น ถ้าทราบว่า แม้แต่
ระลอกความคิดหนึ่งๆก็ถือเป็นสิ่งกระทบใจ นี่คือความจริง ความคิดเป็นต่างหากจากใจ ถูกใจรู้ได้
ว่าเมื่อใดสงบจากความคิด เมื่อใดคลื่นความคิดกระเพื่อมขึ้นมา

ฉะนั้นถึงแม้ว่าปลีกตัวออกมาจากที่ทำงาน ห่างหน้าจากคู่รักคู่แค้นทั้งหลายมาห่างโขแล้ว ก็อย่า
เพิ่งนึกว่าจะไม่มีเครื่องกระทบใจให้เกิดปฏิกิริยา ความคิดที่ติดตามคุณไปทุกหนทุกแห่งนั่นแหละ
เข้ากระทบในทางดีร้ายกับใจของคุณมากที่สุด เพราะฉะนั้นถ้าดักสังเกตกันที่ปฏิกิริยาอันเกิด
จากความคิดกระทบใจได้ก็เท่ากับคุณได้ทำวิปัสสนาบ่อยที่สุด

บทนี้จะขอให้คุณสังเกต เฉพาะปฏิกิริยาทางใจเด่นๆ อันเกิดจากการที่ตาถูกรูปทรงสีสันเข้า
กระทบ หูถูกส่ำเสียงสำเนียงใดเข้ากระทบ จมูกถูกกลิ่นอายเข้ากระทบ ลิ้นถูกรสชาติอาหารเครื่องดื่มเข้า
กระทบ กายถูกของกระด้างของอ่อนนุ่มเข้ากระทบ และใจถูกความคิดหนักเบาเข้ากระทบ

คำว่า ‘ปฏิกิริยาทางใจเด่นๆ’ นั้น ย่นย่อลงแล้วก็เหลือให้ระลึกเข้าใจง่ายๆคือ ‘ชอบ’ กับ
‘ชัง’ แค่นั้นเอง ขอให้สังเกตเถิดว่าเรารู้สึกกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นพิเศษ แปลความหมายทางใจออกมาเป็น
คำพูดก็ได้เพียงชอบกับชังเท่านี้แหละ 

หากสังเกตละเอียดลงไป ก็อาจเห็นลึกซึ้งลงไป ว่าชอบกับชังเท่านี้อาจจำแนกเป็นกิเลสได้
พิสดารพันลึก กล่าวคือความชอบใจนั้นจะมีกระแสดึงดูดอยากได้มาเป็นของเรา กระแสใจนี้เป็นฝ่าย
เดียวกับราคะหรือความโลภอยากได้ส่วนความมีใจชังนั้นจะก่อกระแสผลักไสอยากขับไล่ให้พ้นหน้าเรา
ไป กระแสใจนี้เป็นฝ่ายเดียวกับโทสะหรือการคิดทำลาย

ทั้งชอบทั้งชังนั้น เหมารวมได้เป็นก้อนเดียวกันคือความหลง ใจคนเราถูกห่อหุ้มด้วยความ
หลงกันมาแต่เกิดโดยไม่รู้ตัว ก็เพราะถูกความชอบกับความชังนี้แหละรุมเร้าอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ฉะนั้น
หากเฝ้าจดจ่อรอดูความชอบและความชังดับไปตามธรรมชาติใจก็จะคลายจากอาการลุ่มหลง
มัวเมาต่างๆจนหายขาดในที่สุด

ยกตัวอย่างเช่น บางคนสะดุ้งตื่นขึ้นกลางดึกเพราะเสียงหมาเห่า หากมีแต่ความชังในเสียง
กระทบหูก็จะนอนเครียดไม่หลับลงได้เป็นชั่วโมงเพราะแค้นแน่นจุกอก แต่หากเอาเสียงหมาเห่าเป็น
เครื่องเจริญสติตั้งมุมมองไว้ว่าสักแต่เป็นเสียงกระทบแก้วหู แต่ไม่กระทบตัวเรา ลองสังเกตดูใจจะพบว่า
ปฏิกิริยาโต้ตอบเป็นชิงชังนั้นลดลง ยิ่งเวลาผ่านไปใจจะยิ่งเฉยมากขึ้นเรื่อยๆ แม้เสียงหมาเห่าจะยังดัง
เท่าเดิมก็ตาม เมื่อสติเกิดเต็มที่แล้ว จะเห็นว่าความเฉยเกิดขึ้นเป็นปกติแม้ในคืนต่อๆมาจะมีเสียงหมา
เห่า สติที่อบรมไว้แล้วก็จะทำให้ใจไม่สะดุ้งตื่นขึ้นเพราะเสียงหมา อาจจะรู้สึกตัวขึ้นเพียงนิดเดียวก็จะมี
อาการวางเฉยในเสียงปรากฏแทนความรำคาญ และความวางเฉยนั้นจะทำให้กลับหลับลงต่อได้อย่างดี
นี่คือผลดีที่เห็นได้ชัดของการสังเกตปฏิกิริยาทางใจจนวางเฉยเสียได้

เบื้องต้นในชั้นอนุบาลฝึกหัด ขอให้ลองเป็นนักรู้อายุขัยของปฏิกิริยาทางใจ เล็งไว้เลยว่า
ปฏิกิริยาทางใจทุกชนิดมีอายุของตัวเอง อาศัยจำนวนลมหายใจเข้าออกเป็นตัวนับ กล่าวคือพอ
ชอบหรือชังอะไรขึ้นมา ก็เริ่มนับไปเลยว่าปฏิกิริยาทางใจนั้นเกิดกับลมหายใจที่หนึ่ง ดูไปๆว่ามันจะ
หมดอายุหมดสภาพแสดงตัวตรงลมหายใจที่เท่าไหร่

เมื่อฝึกแรกๆคุณอาจพบว่าพอรู้ลมหายใจปั๊บ ความชอบความชังก็ดับไปทันทีแปรเป็นความอึด
อัดเพราะบังคับใจให้รู้ลมเข้าออกแทน แต่เมื่อทำเหมือนเรื่อยๆเล่นๆหลายครั้งเข้า ก็จะเริ่มชิน และพบว่า
ความชอบความชังนั้นเป็นอาการทางใจ เป็นของภายใน ต้องเห็นจากใจเท่านั้น ส่วนการรู้ลมหายใจเป็น
ของภายนอก รู้ผ่านผัสสะทางกาย

พอสติสัมปชัญญะของคุณรู้แบบแยกชั้น ก็จะไม่รบกวนกัน ปฏิกิริยาทางใจเกิดขึ้นในภายในก็
แสดงตัวอยู่ข้างใน ลมหายใจเกิดขึ้นที่ภายนอกก็แสดงตัวอยู่ภายนอก ถึงตรงนี้คุณจะรู้โดยไม่อึดอัด และ
ที่สำคัญคุณจะไม่ผลีผลามพูดหรือทำอะไรตามความชอบชังบันดาลในขณะนั้น

คนธรรมดาทั่วไปไม่สามารถเห็นความชอบความชังในใจ เพราะชอบหรือชังแล้วก็กลายเป็น
ปฏิกิริยาลูกโซ่สืบเนื่องให้เกิดคำพูดหรือการกระทำตามอยากทันทีต่อเมื่อหัดใช้ลมหายใจช่วยเป็นตัว
วัดว่าอายุขัยมากน้อยเพียงใด คุณก็จะเริ่มดูความชอบความชังเป็น และเมื่อดูเป็นจนชำนาญ คราวนี้คุณ
ไม่ต้องอาศัยลมหายใจเข้ามาช่วยแล้ว แต่สามารถดูความเกิดดับของความชอบความชังได้ตรงๆทีเดียว


สรุป
ถึงตรงนี้จะเห็นว่าเมื่อเข้าใจวิปัสสนาอย่างแท้จริงล่ะก็คุณอาจปฏิบัติได้ตลอดเวลา แม้ขณะที่คน
อื่นเขานึกว่าคุณกำลังนั่งเล่นทอดหุ่ยดูลมชมดาว หรือแม้กระทั่งขณะที่คุณกำลังพูดคุยเฮฮาอยู่กับเขา
ไม่ใช่จะต้องไปปฏิบัติวิปัสสนากันที่วัดหรือในห้องพระที่บ้านเท่านั้น



เขียนโดย ดังตฤณ

No comments:

Post a Comment