Thursday, October 22, 2015

หลวงปู่เขียน ฐิตสีโล

หลวงปู่เขียน ฐิตสีโล

วัดรังสีปาลิวัน
ต.โพน อ.คำม่วง จ.กาฬสินธุ์



๏ อัตโนประวัติ 

“พระอริยเวที” หรือ “หลวงปู่เขียน ฐิตสีโล” เป็นพระเถราจารย์ผู้ปฏิบัติตามพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด เป็นที่น่าเคารพสักการบูชาของบรรดาศิษยานุศิษย์ ซึ่งเป็นที่ประจักษ์แก่พุทธศาสนิกชนทุกหมู่เหล่า รวมทั้ง เป็นเพื่อนสหธรรมิกกับ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช (เจริญ สุวฑฺฒโน) และ พระธรรมวิสุทธิมงคล (หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน) ตั้งแต่ครั้งสมัยที่ท่านทั้งสามยังมีอายุพรรษาไม่มากนัก

หลวง ปู่เขียน มีนามเดิมว่า เขียน ภูสาหัส เกิดเมื่อวันที่ ๒๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๕๖ ตรงกับวันพุธ ขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๑๒ ปีฉลู ณ บ้านโพน ต.โพน อ.คำม่วง จ.กาฬสินธุ์ โยมบิดา-โยมมารดาชื่อ นายสังข์ และนางค้อม ภูสาหัส


๏ การบรรพชาและอุปสมบท 

เมื่ออายุครบ ๑๕ ปี ได้เข้าพิธีบรรพชาเป็นสามเณร เมื่อวันที่ ๖ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๐ ณ วัดบ้านโพน ต.โพน อ.คำม่วง จ.กาฬสินธุ์

ครั้น อายุครบ ๒๐ ปีบริบูรณ์ ได้เข้าพิธีอุปสมบทเป็นพระภิกษุ เมื่อวันที่ ๒๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ ณ พัทธสีมาวัดสุทธจินดา ต.ในเมือง อ.เมือง จ.นครราชสีมา โดยมี เจ้าประคุณสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (อ้วน ติสฺโส) เป็นพระอุปัชฌาย์, พระโพธิวงศาจารย์ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และ พระธรรมปิฎก เป็นพระอนุสาวนาจารย์

พ.ศ. ๒๔๗๕ สอบไล่ได้นักธรรมชั้นเอก

พ.ศ. ๒๔๗๗-๒๔๘๑ สอบไล่ได้เปรียญธรรม ๓-๗ ประโยค สำนักเรียนวัดสุทธจินดา อ.เมือง จ.นครราชสีมา

พ.ศ. ๒๔๘๒ สอบไล่ได้เปรียญธรรม ๘ ประโยค สำนักเรียนวัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพฯ

พ.ศ. ๒๔๘๔ สอบไล่ได้เปรียญธรรม ๙ ประโยค สำนักเรียนวัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพฯ พร้อมกับ เจ้าประคุณสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช (เจริญ สุวฑฺฒโน)


๏ งานด้านการศึกษาสงฆ์ 

พ.ศ. ๒๔๗๘-๒๔๘๑ เป็นครูสอนพระปริยัติธรรมสำนักเรียนวัดสุทธจินดา และวัดศาลาทอง อ.เมือง จ.นครราชสีมา

พ.ศ. ๒๔๘๒ เป็นครูสอนพระปริยัติธรรมสำนักเรียนวัดบวรนิเวศวิหาร แขวงบวรนิเวศ เขตพระนคร กรุงเทพฯ และสำนักเรียนวัดพระศรีมหาธาตุ แขวงอนุสาวรีย์ เขตบางเขน กรุงเทพฯ


๏ ตำแหน่งทางการปกครองคณะสงฆ์ 

พ.ศ. ๒๔๘๕ ได้รับแต่งตั้งเป็นสมาชิกสังฆสภา

พ.ศ. ๒๔๘๙ ได้รับแต่งตั้งเป็นพระอุปัชฌาย์

พ.ศ. ๒๔๙๐ ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดสุทธจินดา จ.นครราชสีมา

พ.ศ. ๒๔๙๔ ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะจังหวัดนครราชสีมา


๏ ลำดับสมณศักดิ์ 

พ.ศ. ๒๔๙๐ ได้รับพระราชทางแต่งตั้งสมณศักดิ์ เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญที่ “พระอริยเวที”


๏ ข้อวัตรและปฏิปทา 

เมื่อ ปี พ.ศ. ๒๔๘๗ หลวงปู่เขียนได้เข้ากราบฟังธรรม ปฏิบัติธรรม และถวายตัวเป็นศิษย์ในสำนักของพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต หลังจากที่สอบได้เปรียญธรรม ๙ ประโยคใหม่ๆ โดย เจ้าประคุณสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (อ้วน ติสฺโส) ได้นำไปฝาก ทั้งนี้ เพื่อประสงค์ให้หลวงปู่ท่านได้เป็นศาสนทายาทที่มีความหนักแน่นมั่นคง ทั้งด้านปริยัติธรรมและด้านปฏิบัติ เป็นแบบอย่างที่ดีแก่พระภิกษุสามเณรในภายภาคหน้า เมื่อได้ฟังธรรม และรับคำแนะนำในการปฏิบัติเป็นอย่างดีแล้ว ท่านจึงได้ออกเดินธุดงค์กัมมัฏฐานไปตามป่าเขาลำเนาไพรในจังหวัดต่างๆ จนออกไปถึงประเทศลาว และแวะเวียนมาเข้ากราบฟังธรรมจากพระอาจารย์มั่นเป็นระยะๆ

ด้วยผลานิสงส์แห่งการปฏิบัติธรรมจากสำนักของ ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ทางด้านวิปัสสนาธุระของประเทศไทย โดยเมื่อครั้งได้ฟังพระธรรมเทศนาของพระอาจารย์มั่น กัณฑ์แรกเรื่อง “โทษของการเกิด” และกัณฑ์ที่สองเรื่อง “มุตโตทัย” (ธรรมะเป็นเครื่องพ้น) หลวงปู่เขียนถึงกับลุกจากที่นั่งไปกราบพระอาจารย์มั่น พร้อมกล่าวคำปฏิญาณตนอย่างเด็ดเดี่ยวต่อหน้าพระอาจารย์มั่นเป็นภาษาบาลีว่า

“สา สเน อุรํ ทตฺวา ขอมอบกายถวายชีวิตทั้งหมดนี้แก่พระพุทธศาสนา ชีวิตทั้งชีวิตนี้ขอมอบไว้ในพระศาสนา ขอให้ท่านพระอาจารย์โปรดเป็นสักขีพยานด้วยเถิด”
 

จากนั้นตราบ จนสิ้นอายุขัย หลวงปู่เขียนได้กระทำสัจจวาจานั้นให้เป็นที่ปรากฏแก่ชนทั้งหลาย ถึงความเป็นศากยบุตรพุทธชิโนรส ผู้บริสุทธิ์หมดจดงดงามในธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว

พระอริยเจ้าผู้แตกฉานในอรรถและธรรม 

หลวงปู่เขียนเป็นพระมหาเถระผู้ถึงพร้อมด้วยความรู้และความประพฤติ เป็นศิษย์ ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ที่สำคัญรูปหนึ่ง ท่านชำนาญทั้งด้านคันถธุระและวิปัสสนาธุระ ทรงความรู้ในทางพระพุทธศาสนา ซึ่งหาได้ยากยิ่งนักในคณะกัมมัฏฐานยุคปัจจุบัน ท่านละทิ้งเกียรติยศตำแหน่งในการบริหาร คณะสงฆ์ มุ่งเพียงเกียรติอันยิ่งใหญ่ คือ พระนิพพาน ละจากความเป็นพระบ้านเข้าสู่ความเป็นพระป่าได้อย่างสนิทใจ เป็นแบบอย่างแก่อนุชนรุ่นหลังที่ติดหลงจมในลาภยศสรรเสริญได้เป็นอย่างดี

หลวง ปู่เขียนท่านมีอุปนิสัยพูดจริงทำจริง เรียนจริงปฏิบัติจริง บากบั่นมุมานะ ไม่ท้อแท้ต่ออุปสรรคที่มาถึง รักสงบ สำรวมระวัง ปฏิบัติตนเคร่งครัดในพระธรรมวินัย ไม่ชอบคลุกคลี ซึ่งตรงต่อธรรมวินัย หนักแน่นด้วยหิริโอตตัปปะธรรม มักน้อย สันโดษ เรียบง่าย มีระเบียบบริบูรณ์ด้วยข้อปฏิบัติในไตรสิกขา ได้ถวายตัวเป็นศิษย์อยู่ฝึกอบรมกัมมัฏฐานกับท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ณ วัดป่าภูริทัตตถิราวาส (วัดป่าบ้านหนองผือ) อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร ท่านได้บำเพ็ญคุณประโยชน์ไว้ในพระพุทธศาสนาเป็นอันมาก ทั้งด้านการศึกษา ด้านการปกครอง และด้านการเผยแผ่ ตั้งแต่บรรพชาอุปสมบทเป็นต้นมาจนตลอดอายุขัย

ครั้งหลวงปู่เขียนท่าน ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดสุทธจินดา จ.นครราชสีมา ลำดับที่ ๓ ตั้งแต่เมื่อวันที่ ๑๗ มกราคม พ.ศ. ๒๔๗๐ ท่านมีแนวคิดกว้างไกล ทั้งหลักการและแนวทางปฏิบัติการบริหารภายในวัด ตั้งเป้าหมายไว้สูง มีระเบียบให้พระภิกษุ สามเณร ตลอดถึงคณะศิษย์วัด ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด รวมทั้ง มีการคัดเลือกหมู่คณะให้เข้าไปรับการอบรมเป็นนักเรียนครูและนักเรียนการ ปกครอง ที่วัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพฯ เพื่อให้กลับมาเป็นบุคลากรบริหารวัดช่วยเจ้าอาวาส อนุสรณ์สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ ท่านได้ริเริ่มก่อตั้งมูลนิธิ “สุทธจินดาราชสีมามูลนิธิ” ซึ่งได้ผลงานตามวัตถุประสงค์ ทุนทรัพย์เติบใหญ่มาจนถึงทุกวันนี้

เมื่อ ได้วางรากฐานการปกครองและการศึกษาเข้าสู่ความเจริญในระดับหนึ่งตามเป้าหมาย แล้ว ด้วยสาวกบารมีญาณมาเตือน หลวงปู่เขียนท่านได้ประกาศท่ามกลางคณะสงฆ์วัดสุทธจินดาอย่างอาจหาญว่า “จะออกปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานในป่า” ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๐๐ เป็นต้นมา ท่านได้สร้างวัดรังสีปาลิวัน จ.กาฬสินธุ์ และได้ออกบำเพ็ญตามถ้ำ เงื้อมผา จำพรรษาในที่หลายแห่งตามสถานที่วิเวก สัปปายะ สมเจตนาที่ท่านตั้งไว้

หลวงปู่เขียนท่านปรารภถึงชีวิตของท่านขณะเป็นพระอยู่ในเมือง ไว้อย่างน่าสนใจว่า 

ที่มา 

No comments:

Post a Comment