Tuesday, December 1, 2015

บทสวดพุทธมังคลคาถา นมัสการบูชาพระอรหันต์แปดทิศ ของสมเด็จพระพุฒาจารย์ โต พรหฺมรํสี


บทสวดพุทธมังคลคาถา นมัสการบูชาพระอรหันต์แปดทิศ
ของสมเด็จพระพุฒาจารย์ โต พรหฺมรํสี


หันทะ มะยัง พุทธะมังคละคาถาโย ภะณามะเส
สัมพุทโธ ทิปะทัง เสฏโฐ นิสินโน เจวะ
มัชฌิเม โกณฑัญโญ ปุพพะภาเค จะ
อาคเณยเย จะ กัสสะโป สารีปุตโต จะ ทักขิเณ หะระติเย

อุปาลิ จะ ปัจฉิเมปิ จะ อานันโท พายัพเพ จะ ควัมปะติ

โมคคัลลาโน จะ อุตตะเร อีสาเนปิ จะ ราหุโล
อิเม โข มังคะลา พุทธา สัพเพ อิธะ ปะติฏฐิตา
วันทิตา เต จะ อัมเหหิ สักกาเรหิ จะ ปูชิตา เอเตสัง อานุภาเวนะ
สัพพะโสตถี ภะวันตุโนอิจเจวะมัจจันตะนะมัสสะเนยยัง
นะมัสสะมาโน ระตะนัตตะยังยัง
ปุญญาภิสันทัง วิปุลัง อะลัตถัง
ตัสสานุภาเวนะ หะตันตะราโย


พุทธมังคลคาถานี้ หรือเรียกว่า คำนมัสการบูชาพระอรหันต์แปดทิศ ล้วนแต่มีฤทธิ์ทุกองค์ เป็นมหาเถระ
ผู้ยิ่งใหญ่ในทางพระพุทธศาสนา เมื่อทำการสวดบูชาแล้ว ย่อมจะมีลาภผลเป็นมิ่งมงคล และปราศจากอันตราย 

บทสวดพุทธมังคลคาถา พระสิวลี

บทสวดพุทธมังคลคาถา พระสิวลี

อิติปิโสภะคะวา นะชาลีติ ฉิมพาลี จะ มหาเถโร สุวรรณะมามา โภชนะมามา วัตถุวัตถามามา
พลาพลังมามา โภคะมามา มหาลาโภมามา สัพเพชะนา พหูชะนา ภะวันตุเม
พุทโธ ชัยยะ เมตตาฉิมพะลีจะมหาเถโร ลาภะลาภัง ภะวันตุเม
ธัมโม ชัยยะ เมตตาฉิมพะลีจะมหาเถโร ลาภะลาภัง ภะวันตุเม
สังโฆ ชัยยะ เมตตาฉิมพะลีจะมหาเถโร ลาภะลาภัง ภะวันตุเม

ขอนมัสการพระสีวลีเถรเจ้า ผู้ทรงเป็นเลิศในทางลาภสักการะ พระองค์ทรงมีศักดาฤทธานุภาพหาที่จะอุปมามิได้ พระมหาเถรสีวลีพระองค์เสด็จไปอยู่ยังสถานที่แห่งใด ๆ เทพยดาและมนุษย์ย่อมมาบูชามิได้ขาดในสถานที่นั้นทุกแห่ง ขอให้เดชะบารมีพระสีวลีเถรเจ้า จงมาเป็นที่พึ่งแก่ข้าพเจ้าในกาลบัดเดี๋ยวนี้เถิด

นะ พระขันแก้ว แผ้วถางทางพระนิพพาน สินมัคญาณ ทานบารมี ศีลบารมี ภาวนาบารมี ไมตรี เมตตา กรุณา มุติตา อุเบกขา พระคุณสัมปันโน อะระหัตตะผล

โม พระขันแก้ว แผ้วถางทางพระนิพพาน สินมัคญาณ ทานบารมี ศีลบารมี ภาวนาบารมี ไมตรี เมตตา กรุณา มุติตา อุเบกขา พระคุณสัมปันโน อะระหัตตะผล

พุท พระขันแก้ว แผ้วถางทางพระนิพพาน สินมัคญาณ ทานบารมี ศีลบารมี ภาวนาบารมี ไมตรี เมตตา กรุณา มุติตา อุเบกขา พระคุณสัมปันโน อะระหัตตะผล

ธา พระขันแก้ว แผ้วถางทางพระนิพพาน สินมัคญาณ ทานบารมี ศีลบารมี ภาวนาบารมี ไมตรี เมตตา กรุณา มุติตา อุเบกขา พระคุณสัมปันโน อะระหัตตะผล

ยะ พระขันแก้ว แผ้วถางทางพระนิพพาน สินมัคญาณ ทานบารมี ศีลบารมี ภาวนาบารมี ไมตรี เมตตา กรุณา มุติตา อุเบกขา พระคุณสัมปันโน อะระหัตตะผล

นะโมพุทธายะ นิพพานัง ปัจจะโยโหตุ ปูเชมิ


พระไตรญาณ ชินปัญชร

พระไตรญาณ ชินปัญชร


อุกาสะ อุกาสะ ข้าพเจ้าจะเจริญสวดมนต์ภาวนาธรรม บูชาคุณพระรัตนตรัย เพื่อสร้างสมทศบารมีธรรมในจิตมี ทาน ศีล เนกขัมมะ ปัญญา วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐาน เมตตา อุเบกขา เจริญอิทธิบาททั้งสี่ ด้วยความพอใจ ในความเพียร ให้ความสนใจ และความใคร่ครวญพิจารณา ให้สังหารนิวรณ์ทั้งห้า อันมี กามฉันทะ ความพยาบาท ความง่วงขณะปฏิบัติ ความคิดฟุ้งซ่าน ความลังเลสงสัย ให้มันมลายหายออกไป มีวิตก วิจารณ์ ปิติ สิริร่วมสุข เอกกัคคตา เข้ามาแทนที่ให้ถึงฌานสมาบัติ จนเดินทางเข้าสู่มรรคาพระอริยะบุคคล ล้างธุลีกิเลสให้สูญ ตัดมูลอาสวะให้สิ้นสูญ ห่างไกลสังโยชน์ทั้งปวง ล่วงถึงพระนิพพานที่ยิ่งใหญ่

ข้าพเจ้าขออาราธนาบารมีพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า และพระอริยะสงฆ์ทุกพระองค์มีสมเด็จโต วัดระฆังเป็นที่สุด จงมาเป็นที่พึ่งแก่ข้าพเจ้า ทำลายทุกข์กายใจให้เหือดหาย ทำลายมารตัณหาให้พินาศ ขอให้พ้นเคราะห์ ปราศจากทุกข์โศกโรคภัย และอันตรายภัยพิบัติทั้งปวง ขอให้ข้าพเจ้ามีอายุยืนยาว มีโชคลาภ
มีความสุข สิริสวัสดิ์ เจริญต่อไปทั้งในปัจจุบัน กาลอนาคต และภพหน้า ณ กาลบัดเดี๋ยวนี้เทอญ

vอุกาสะ อุกาสะ มือของข้าพเจ้าทั้งสิบนิ้วขอประนมขึ้นระหว่างคิ้ว ข้าพเจ้าขอถวายต่างดอกบัวปทุมชาติ จักขุของข้าพเจ้าทั้งสองอันรุ่งเรืองฉายแสงแวววาวขอถวายต่างธูปเทียนทอง นะโม นมัสการ ข้าพเจ้าขอบูชาคุณพระพุทธเจ้า พระองค์ทรงพระญาณเห็นทั่วทุกทิศแดนไกล พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ให้ภาวนาว่า พุทธังสะระณังคัจฉามิ ธัมมังสะระณัง คัจฉามิ สังฆังสะระณังคัจฉามิ ตั้งใจภาวนาไว้ให้ดีศัตรูมีมาแก้ได้ทุกประการ ด้วยพุทธานุภาพที่ทรงตั้งมั่นในอุเบกขา ทรงเมตตาโปรดสัตว์ทั่วทิศ ทรงฤทธิ์แกล้วกล้า
เดชะพระจตุพรหมวิหาร ในน้ำพระหฤทัยมีพระเมตตา ทรงพระกรุณาช่วยสัตว์ให้หายเข็ญ
พุทโธพุทธัสสะกำจัดออกไป อย่าเข้ามาใกล้ขอบขัณฑ์เสมา
ธัมโมธัมมัสสะ กำจัดออกไป อย่าเข้ามาใกล้ขอบขัณฑ์เสมา
สังโฆสังฆัสสะ กำจัดออกไป อย่าเข้ามาใกล้ขอบขัณฑ์เสมา
พวกมารไพรีอย่าเข้ามาใกล้ คนร้ายอกุศลถอยไปให้พ้น สารพัดศัตรูวินาศสันติ

v ข้าพเจ้าจะขออาราธนาพระธรรมเจ้าทั้งแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ จนจบในพระไตรปิฏกยกย่อออกมาว่า อาปะมะจุปะ คือ พระวินัย ทีมะสังอังขุ คือ พระสูตร สังวิทาปุกะยะปะ คือ พระปรมัตถ์
ด้วยเดชะพระธรรมเจ้าทั้งหลาย ขอให้โพยภัยอย่าได้มี จงกำจัดพลัดพรายออกไปให้พ้น

vข้าพเจ้าจะขอไหว้คุณพระสงฆ์อันทรงศีลบริสุทธิ์ พระสงฆ์ทรงเป็นมิตรพิสมัย สังฆัสสัง มังคะลังโลเก อุมะอะปิ พระสังฆังจงมารักษาตัวข้าพเจ้า ศัตรูภายนอกเร่งถอยออกไป ศัตรูภายในบรรลัยสิ้นสุด หนึ่งนมัสการพระพุทธมาอยู่ตรงหน้า พระธรรมมาอยู่ตรงหลัง พระสังฆังรักษาจิต พระพรหมผู้เป็นเจ้าสวรรค์มาช่วยกันรักษาตัวข้าพเจ้า เหล่าเทพเทวานพเคราะห์เสด็จเข้ามาช่วยกันรักษา
ด้วยพระอาทิตย์ทั้งหกทรงประทานกำลังมาให้
พระจันทร์สิบห้าทรงศีลในใจ
พระอังคารแปดองค์มารักษาภายใน
พระพุธสิบเจ็ด เป็นที่ชุมนุมคุ้มเสนียดและจัญไร
พระเสาร์ดีจริงกำลังสิบทัศน์ มาช่วยกำจัดมหาอุบาทว์
พระพฤหัสสิบเก้าเข้าสิงสู่ให้พรทุกสิ่ง
พระราหูสิบสองมาช่วยกันรักษา ศัตรูมีมามอดม้วยบรรลัย
พระศุกร์ยี่สิบเอ็ดมาช่วยป้องกัน พระกาฬตัวกล้าร้ายกาจหนักหนา ศัตรูที่ไหนให้บรรลัยที่นั่น

นะโมเมสัพพะเทวานัง
สัพพะเคราะห์จะเทวะตา
สุริยัญจะ ปะมุญจะถะ
สะสิภุมโมจะเทวานัง
พุทโธลาภัง ภะวิสสะติ
ชีโวศุโกร์จะมหาลาภัง
สัพพะเคราะห์วินาศสันติ
โสโรราหูเกตุมหาลาภัง
สัพพะทุกข์ สัพพะโศก
สัพพะโรค สัพพะภัย
สัพพะเคราะห์เสนียดจัญไร วินาศสันติ
พระเคราะห์ภายใน พระเคราะห์ภายนอกจงหายไป
พระเคราะห์ปี ขอให้เคลื่อน
พระเคราะห์เดือน ขอให้คลาย
พระเคราะห์วัน ขอให้หาย มลายไปสิ้น ชัยยะ ชัยยะ

Friday, November 27, 2015

คาถาชินบัญชร พระคาถาชินบัญชร โดยสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) คาถาชินบัญชร

คาถาชินบัญชร พระคาถาชินบัญชร 
โดยสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) คาถาชินบัญชร

เป็นคาถาศักดิ์สิทธิ์ตกทอดมาจากลังกา สมเด็จพระพุฒาจารย์โต ค้นพบ พระคาถาชินบัญชร ในคัมภีร์โบราณและได้ดัดแปลงแต่งเติมให้ดีขึ้นเป็นเอกลักษณ์พิเศษ ผู้ใดสวดภาวนา พระคาถาชินบัญชร นี้เป็นประจำสม่ำเสมอ จะทำให้เกิดความสิริมงคลแก่ตนเองศัตรูไม่กล้ากล้ำกราย มีเมตตามหานิยม ขจัดภัยตลอดจนคุณไสยต่างๆ ก่อนเจริญภาวนา คาถาชินบัญชร ให้ตั้งนะโม ๓ จบ แล้วระลึกถึงสมเด็จโตและตั้งคำอธิษฐานแล้วเริ่มสวดคาถาชินบัญชร พระคาถาต่างๆ

ตั้ง นโม 3 จบ
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ

ระลึกถึงสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) แล้วตั้งอธิษฐาน
ปุตตะกาโมละเภปุตตัง ธะนะกาโมละเภธะนัง
อัตถิกาเยกายะญายะ เทวานังปิยะตังสุตตะวา
อิติปิโสภะคะวา ยะมะราชาโน ท้าวเวสสุวัณโณ
มรณังสุขัง อะระหังสุคะโต นะโมพุทธายะ

เริ่มบท พระคาถาชินบัญชร

ชะยาสะนากะตา พุทธา เชตวา มารัง สะวาหะนัง
จะตุสัจจาสะภัง ระสัง เย ปิวิงสุ นะราสะภา.

ตัณหังกะราทะโย พุทธา อัฏฐะวีสะติ นายะกา
สัพเพ ปะติฏฐิตา มัยหัง มัตถะเกเต มุนิสสะรา.

สีเส ปะติฏฐิโต มัยหัง พุทโธ ธัมโม ทะวิโลจะเน
สังโฆ ปะติฏฐิโต มัยหัง อุเร สัพพะคุณากะโร.

หะทะเย เม อะนุรุทโธ สารีปุตโต จะทักขิเณ
โกณฑัญโญ ปิฏฐิภาคัสมิง โมคคัลลาโน จะ วามะเก.

ทักขิเณ สะวะเน มัยหัง อาสุง อานันทะ ราหุโล
กัสสะโป จะ มะหานาโม อุภาสุง วามะโสตะเก.

เกสันเต ปิฏฐิภาคัสมิง สุริโย วะ ปะภังกะโร
นิสินโน สิริสัมปันโน โสภิโต มุนิปุงคะโว

กุมาระกัสสโป เถโร มะเหสี จิตตะ วาทะโก
โส มัยหัง วะทะเน นิจจัง ปะติฏฐาสิคุณากะโร.

ปุณโณ อังคุลิมาโร จะ อุปาลี นันทะ สีวะลี
เถรา ปัญจะ อิเม ชาตา นะลาเต ติละกา มะมะ.

เสสาสีติ มะหาเถรา วิชิตา ชินะสาวะกา
เอเตสีติ มะหาเถรา ชิตะวันโต ชิโนระสา
ชะลันตา สีละเตเชนะ อังคะมังเคสุ สัณฐิตา.

ระตะนัง ปุระโต อาสิ ทักขิเณ เมตตะ สุตตะกัง
ธะชัคคัง ปัจฉะโต อาสิ วาเม อังคุลิมาละกัง

ขันธะโมระปะริตตัญจะ อาฏานาฏิยะ สุตตะกัง
อากาเส ฉะทะนัง อาสิ เสสา ปาการะสัณฐิตา

ชินา นานาวะระสังยุตตา สัตตัปปาการะ ลังกะตา
วาตะปิตตาทะสัญชาตา พาหิรัช ฌัตตุปัททะวา.

อะเสสา วินะยัง ยันตุ อะนันตะชินะ เตชะสา
วะสะโต เม สะกิจเจนะ สะทา สัมพุทธะปัญชะเร.

ชินะปัญชะระมัชฌัมหิ วิหะรันตัง มะฮี ตะเล
สะทา ปาเลนตุ มัง สัพเพ เต มะหาปุริสาสะภา.

อิจเจวะมันโต สุคุตโต สุรักโข
ชินานุภาเวนะ ชิตุปัททะโว
ธัมมานุภาเวนะ ชิตาริสังโฆ
สังฆานุภาเวนะ ชิตันตะราโย
สัทธัมมานุภาวะปาลิโต จะรามิ ชินะ ปัญชะเรติ.

คาถา-อาคมผู้ใดสวดภาวนา พระคาถาชินบัญชร นี้เป็นประจำสม่ำเสมอ จะทำให้เกิดความสิริมงคลแก่ตนเองและครอบครัว ศัตรูไม่กล้ากล้ำกราย มีเมตตามหานิยม ขจัดภัยตลอดจนคุณไสยต่างๆ คาถาชินบัญชร ดีนักแล

คาถามหาลาภ

คาถามหาลาภ เป็นคาถามหาลาภ 
อีกหนึ่งบทที่นิยมใช้กัน ให้สวดภาวนาก่อนนอน 3 จบ และตอนเช้าอีก 3 จบ จะทำให้ได้ทรัพย์สิน โชคลาภเงินทอง ให้มีได้อย่างน่าอัศจรรย์ พระคาถามหาลาภเมตตา พระคาถามหาลาภหลวงพ่อรวย

นะชาลีติ ประสิทธิลาภา ปสันนะจิตตา สะทาโหนตุ

ปิยังมะมะ สัพเพชะนา พหูชนา สัพเพทิสา

สะมาคะตา กาละโภชะนา วิกาละโภชะนา

อาคัจฉันติ ปิยังมะมะ เอหิมะมา เงินมา ลาภมา

อุกากะสะ ภวันตุเมมิมิ เมตตามิมิ


...........................................


คาถามหาลาภ สวดบ่อยๆจะช่วยเสริมโชคลาภให้แก่ตัวเอง

นะมามีมา มะหาลาภา อิติพุทธัสสะ
สุวัณณังวา ระชะตังวา มะณีวา
ธะนังวา พีชังวา อัตถังวา ปัตถังวา
เอหิ เอหิ อาคัจเฉยยะ
อิติมีมา นะมามิหัง 




คาถาป้องกันร้อยแปด พระคาถาป้องกันภัย 108 ประการ

คาถาป้องกันร้อยแปด พระคาถาป้องกันภัย 108 ประการ 
คาถานี้ใช้ป้องกันเภทภัยต่าง ๆ

โสอะโท สัมคะตะ สะมะถา สาภะติ ขาคะตา
โมโกลิ เวสิปะ ยิเวติ สุโนโต อุวะสา กะตานิ ปาระติ



คาถาแคล้วคลาด

คาถาแคล้วคลาด 

สวด 3 จบเวลาต้องการให้แคล้วคลาดในสิ่งใดๆที่อาจเป็นอันตราย หรือเสี่ยง เช่นก่อนเดินทางไกลขึ้นเครื่องบิน หรือ มีความรู้สึกว่าไม่ปลอดภัยให้ท่อง คาถาแคล้วคลาด ดังนี้

พุทธาอะนุนามะริยาสุขังเขยเย
พุทธาอะนินาสุหะลาลิสังเขยเย
พุทธาริโยเคมะกุลักขะกัปปะเก
วันทามิเตสุระนะรักกะเมสะเม



คาถาเมตตา 32 ประการ

นะโมเม ถะรุยะสา โสวะกัม นิโจเร วาหิ พะเนรัง มุเตนัง ยิเทนะ พุทธะ พาลา อิละโข ติงเธ


คาถาหว่านทราย

                                  คาถาหว่านทราย

อิมัสมิง  ราชะเสมานา  เขตเต  สะมันตา  สะตะโยชะนะสะตะ-
สะหัสสานิ  พุทธะ ชาละปะริกเขตเต  รักขันตุ  สุรักขันตุ ฯ

อิมัสมิง  ราชะเสมานา  เขตเต  สะมันตา  สะตะโยชะนะสะตะ-
สะหัสสานิ  ธัมมะ  ชาละปะริกเขตเต  รักขันตุ  สุรักขันตุ ฯ

อิมัสมิง  ราชะเสมานา  เขตเต  สะมันตา  สะตะโยชะนะสะตะ-
สะหัสสานิ  ปัจเจกะพุทธะ  ชาละปะริกเขตเต  รักขันตุ  สุรักขันตุ ฯ

อิมัสมิง  ราชะเสมานา  เขตเต  สะมันตา สะตะโยชะนะสะตะ-
สะหัสสานิ  สังฆะ  ชาละปะริกเขตเต  รักขันตุ  สุรักขันตุ ฯ

คาถาหว่านทรายนี้  ใช้สวดไล่ภูตผีปีศาจร้ายต่าง ๆ  ถ้าสวดเป็นประจำทำให้เทวดา
รักษา  อยู่ก็เป็นสุข  ไปก็เป็นสุข  และเจริญด้วย อายุ  วรรณะ  สุขะ  พละ 




Thursday, November 19, 2015

คาถาพญานกยูงทอง - โมรปริตร

โมรปริตร สุตตันตปิฎก โมรชาดก ทุกนิบาต และอรรถกถาชาดก 
พระคาถาโมรปริตร หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า "พระคาถาพญายูงทอง" สำหรับความศักดิ์สิทธิ์ของคาถานี้นั้น หลายท่านอาจจะเคยได้ยินมาบ้างแล้วคาถา "นะโมวิมมุตตานัง นะโมวิมุตติยา" เป็นคาถาที่ปรากฏในตำนานโมรปริตร (อุเทตะยัญจักขุมา) ซึ่งเป็นนิทานชาดก โดยสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสวยพระชาติเป็น "พญานกยูงทอง" 

โมรปริตรเป็นพระปริตรที่กล่าวถึงคุณของพระพุทธเจ้าในอดีตทั้งหลาย  แล้วน้อมเอาพระพุทธคุณให้เกิดเป็นพุทธานุภาพปกป้องคุ้มครองให้มี ความสวัสดีแคล้วคลาดปลอดภัย   การสวดโมรปริตรก็เพื่อให้เกิดความ เป็นสิริมงคลแคล้วคลาดปลอดภัยจากภยันตราย ทั้งหลาย  แม้ศัตรูมุ่งร้ายก็ไม่อาจทำอันตรายได้   หากเป็นคดีความท่านให้สวดบทโมรปริตรนี้   


โมรปริตร เพื่อความแคล้วคลาด ปลอดภัย
อุเทตะยัญจักขุมา  เอกะราชา
หะริสสะวัณโณ  ปะฐะวิปปะภาโส
ตัง  ตัง  นะมัสสามิ  หะริสสะวัณณัง  ปะฐะวิปปะภาสัง
ตะยัชชะ  คุตตา  วิหะเรมุ  ทิวะสัง
เย  พราหมะณา  เวทะคุ  สัพพะธัมเม
เต  เม  นะโม  เต  จะ  มัง  ปาละยันตุ
นะมัตถุ  พุทธานัง  นะมัตถุ  โพธิยา
นะโม  วิมุตตานัง  นะโม  วิมุตติยา
อิมัง  โส  ปะริตตัง  กัตวา  โมโร  จะระติ  เอสะนาฯ

อะเปตะยัญจักขุมา  เอกะราชา
หะริสสะวัณโณ  ปะฐะวิปปะภาโส
ตัง  ตัง  นะมัสสามิ  หะริสสะวัณณัง  ปะฐะวิปปะภาสัง
ตะยัชชะ  คุตตา  วิหะเรมุ  รัตติง
เย  พราหมะณา  เวทะคุ  สัพพะธัมเม
เต  เม  นะโม  เต  จะ  มัง  ปาละยันตุ
นะมัตถุ  พุทธานัง  นะมัตถุ  โพธิยา
นะโม  วิมุตตานัง  นะโม  วิมุตติยา
อิมัง  โส  ปะริตตัง  กัตวา  โมโร  วาสะมะกัปปะยีติฯ



คำแปล
(เมื่อพระอาทิตย์อุทัยยามรุ่งอรุณ  นกยูงสวดพระปริตรว่า)
"พระอาทิตย์อุทัยขึ้นมาเป็นดวงตาของโลก  เป็นเจ้าแห่งแสง สว่าง  กำลังสาดแสงสีทองส่องผืนปฐพี  ข้าพเจ้าขอนอบน้อมพระอาทิตย์ผู้สาดแสงสีทองส่องผืนปฐพี  ขอท่านจงคุ้มครองข้าพเจ้าทั้งหลายให้อยู่ เป็นสุขตลอดกลางวัน  ในวันนี้

ท่านเหล่าใดละบาปได้แล้ว  รู้ธรรมทั้งปวงหมดทุกอย่าง   ขอท่านผู้ไม่มีบาปเหล่านั้น  จงรับความนอบน้อมของข้าพเจ้า  ท่านผู้ไม่มีบาปทั้งหลายโปรดรักษาข้าพเจ้า  ข้าพเจ้าขอนอบน้อมพระพุทธเจ้าทั้งหลาย  ขอนอบน้อมพระโพธิญาณ  ขอนอบน้อมท่านผู้หลุดพ้นแล้วทั้งหลาย  ขอนอบน้อมแด่วิมุตติธรรมเป็นเครื่องหลุดพ้นจากกองทุกข์ทั้งปวง"  นกยูงนั้นสวดปริตรนี้แล้ว  จึงเที่ยวไปแสวงหาอาหาร

(เมื่อพระอาทิตย์ตกดินยามเย็น  นกยูงได้สวดพระปริตรว่า)
"พระอาทิตย์อุทัยขึ้นมาเป็นดวงตาของโลก  เป็นเจ้าแห่งแสง สว่าง  สาดแสงสีทองส่องผืนปฐพีกำลังอัศดงแล้ว  ข้าพเจ้าขอนอบน้อมพระอาทิตย์ผู้สาดแสงสีทองส่องผืนปฐพี  ขอท่านจงคุ้มครองข้าพเจ้า      ทั้งหลายให้อยู่เป็นสุขตลอดราตรีค่ำคืนวันนี้

ท่านเหล่าใดละบาปได้แล้ว  รู้ธรรมทั้งปวงหมดทุกอย่าง  ขอท่านผู้ไม่มีบาปเหล่านั้น  จงรับความนอบน้อมของข้าพเจ้า  ท่านผู้ไม่มีบาป       ทั้งหลายโปรดรักษาข้าพเจ้า  ข้าพเจ้าขอนอบน้อมพระพุทธเจ้าทั้งหลาย  ขอนอบน้อมพระโพธิญาณ  ขอนอบน้อมท่านผู้หลุดพ้นแล้วทั้งหลาย  ขอนอบน้อมแด่วิมุตติธรรมเป็นเครื่องหลุดพ้นจากกองทุกข์ทั้งปวง"  นกยูงนั้นสวดปริตรนี้แล้ว  จึงพักผ่อนหลับนอน





Thursday, November 12, 2015

ตัวอย่างการพิมพ์เผยแผ่เป็นธรรมทาน

จัดพิมพ์โดย


พิมพ์เผยแผ่เป็นธรรมทาน

เพื่ออุทิศบุญกุศลให้กับเทวดาผู้รักษาตัวข้าพเจ้า บรรพบุรุษ บิดา มารดา ครู อุปัชฌาย์ อาจารย์ ผู้มีพระคุณ ญาติสนิท มิตรสหาย เจ้ากรรมนายเวร  เจ้าเกณฑ์ชะตา เจ้าที่ เจ้าทาง แม่นางธรณี ผีบ้าน ผีเรือน ที่ข้าพเจ้าอาศัยอยู่ สัมภเวสีทั้งหลาย และสรรพสัตว์น้อยใหญ่ทั้งปวง

ขอให้ท่านทั้งหลายจงอนุโมทนาบุญกุศลนี้ และจงได้รับในบุญกุศลนี้โดยทั่วหน้ากัน เทอญ

ถ้าท่านมีทุกข์  ขอให้พ้นทุกข์
ถ้าท่านมีสุข     ขอให้มีสุขยิ่งๆขึ้นไป





Monday, October 26, 2015

มงคลชิวิต 38 ประการ ที่ควรทราบ

มงคลชิวิต 38 ประการ ที่ควรทราบ

มงคลที่ 1.ไม่คบคนพาล
อย่าคบมิตร ที่พาล สันดานชั่ว
จะพาตัว เน่าดิบ จนฉิบหาย
แม้ความคิด ชั่วช้า อย่ากล้ำกราย
เป็นมิตรร้าย ภายใน ทุกข์ใจครัน

มงคลที่ 2.การคบบัณฑิต
ควรคบหา บัณฑิต เป็นมิตรไว้
จะช่วยให้ พ้นทุกข์ สบสุขสันต์
ความคิดดี เลิศล้ำ ยิ่งสำคัญ
ควรคบกัน อย่าเขว ทุกเวลา

มงคลที่ 3.การบูชาบุคคลที่ควรบูชา
ควรบูชา ไตรรัตน์ ขัตติเยศร์
ผู้วิเศษ ก่อเกื้อ เหนือเกศา
ครูอาจารย์ เจดีย์ ที่สักการ์
ด้วยบุปผา ปฏิบัติ สวัสดิ์การ

มงคลที่ 4.การอยู่ในถิ่นอันสมควร
เป็นเมืองกรุง ทุ่งนา หรือป่าใหญ่
ทางมา-ไป ครบครัน ธัญญาหาร
มีคนดี ที่ศึกษา พยาบาล
ปลอดภัยพาล ควรอยู่กิน ถิ่นนั้นแล

มงคลที่ 5.เคยทำบุญมาก่อน
กุศลบุญ คุณล้ำ เคยทำไว้
จะส่งให้ สวยเด่น เช่นดวงแข
ทั้งทรัพย์ยศ ไมตรี มีเย็นแด
เพราะกระแส บุญเลิศ ประเสริฐนัก

มงคลที่ 6 การตั้งตนชอบ
ต้องตั้งตน กายใจ ในทางถูก
เร่งฝังปลูก ตนไว้ ให้ถูกหลัก
เมื่อตัวตน ยังมี เป็นที่รัก
ควรพิทักษ์ ให้งาม ตามเวลา

มงคลที่ 7 ความเป็นพหูสูต
การสนใจ ใฝ่คว้า หาความรู้
ให้เป็นผู้ แก่เรียน เพียรศึกษา
มีศีลดี สติมั่น เกิดปัญญา
ย่อมนำพา ตัวรอด เป็นยอดดี

มงคลที่ 8 การรอบรู้ในศิลปะ
ศิลปะ ต่างอย่าง ทางอาชีพ
ควรเร่งรีบ เรียนรู้ ชูศักดิ์ศรี
มีบางคน จนอับ กลับมั่งมี
ฉลาดดี มีศิลป์ หากินพอ

มงคลที่ 9 มีวินัยที่ดี
อันวินัย นำระเบียบ สู่เรียบร้อย
คนใหญ่น้อย เปรมปรีดิ์ ดีนักหนา
วินัยสร้าง กระจ่างข้อ ก่อศรัทธา
เพราะรักษา กติกา พาร่วมมือ
ไม่พูดเท็จ พูดสอดเสียด และพูดมาก
ละความยาก สร้างวิบาก ฝากยึดถือ
คนหมู่มาก มักถางถาก ปากข่าวลือ
ต้องสัตย์ซื่อ ถือวินัย ใช้ร่วมกัน

มงคลที่ 10 กล่าววาจาอันเป็นสุภาษิต
เปล่งวจี สัจจะ นวลละม่อม
กล่าวเลลี้ยกล่อม ไพเราะ กาลเหมาะสม
เจือประโยชน์ เมตตา ค่านิยม
รื่นอารมณ์ ผู้ฟัง ดังเสียงทอง

มงคลที่ 11 การบำรุงบิดามารดา
คนที่หา ได้ยาก มากไฉน
เพราะว่าใน โลกนี้ มีเพียงสอง
คือพ่อแม่ เกิดเกล้า เหล่าลูกต้อง
ตอบสนอง พระคุณ ได้บุญแรง

มงคลที่ 12 การสงเคราะห์บุตร
เป็นมารดา บิดา ทำหน้าที่
ให้บุตรมี พำนัก เป็นหลักแหล่ง
ส่งเสริมบุตร ธิดาตน กุศลแรง
ย่อมส่องแสง เพิ่มพูน ตระกูลวงศ์

มงคลที่ 13.การสงเคราะห์ภรรยา
มีคู่ครอง ต้องไม่ทำ ให้ช้ำจิต
จะพาผิด ไปข้าง ทงผุยผง
ต้องสงเคราะห์ แก่กัน ให้มั่นคง
รักยืนยง ด้วยกัน ถึงวันตาย

มงคลที่ 14.ทำงานไม่คั่งค้าง
จะทำงาน การใด ตั้งใจมั่น
อย่าผัดวัน ทำเล่น เช้า เย็น สาย
ไม่ทิ้งคา อากูล มากมูลมาย
เร่งคลี่คลาย ให้เสร็จ สำเร็จการ

มงคลที่ 15.การให้ทาน
ควรบำเพ็ญ ซึ่งทาน คือการให้
ท่านว่าไว้ สวยงาม สามสถาน
หนึ่งให้ของ สองธรรมะ ขนะมาร
อภัยทาน ที่สาม งามเหลือเกิน

มงคลที่ 16.การประพฤติธรรม
การประพฤติ ตามธรรม คำพระสอน
ไม่เดือดร้อน ถอนทุกข์ ยามฉุกเฉิน
คนรักธรรม ธรรมรักษ์คน ผลเจริญ
นั่ง,ยืน,เดิน นอน,สุข ทุกข์ไม่มี

มงคลที่ 17.การสงเคราะห์ญาติ
เมื่อยามญาติ อัตคัด เกินขัดข้อง
ควรหาช่อง สงเคราะห์ ไม่เลาะหนี
เขาซาบซึ้ง ถึงคุณ อบอุ่นดี
หากถึงที เราจน ญาติสนใจ

มงคลที่ 18 ทำงานไม่มีโทษ
งานรับจ้าง ล้างชาม ก็ตามเถิด
หากไม่เกิด โทษทัณฑ์ นั่นสดใส
เมื่อได้ช่อง ต้องจำ กระทำไป
ได้กำไร ทุกทาง ไม่ว่างงาน

มงคลที่ 19 ละเว้นจากบาป
กรรมชั่วช้า ลามก ต้องยกเว้น
หากขืนเล่น ด้วยกัน ถูกมันผลาญ
งดเว้นบาป กำราบให้ ไกลสันดาน
ในดวงมาลย์ ไม่ร้อน และอ่อนเพลีย

มงคลที่ 20 สำรวมจากการดื่มน้ำเม
ของมึนเมา ทุกชนิด พิษคล้ายเหล้า
ใครเสพเข้า น่าตำหนิ สติเสีย
เกิดโรคร้าย แรงร้อน กายอ่อนเพลีย
ใครงดเสีย เป็นสุข ไปทุกวัน

มงคลที่ 21 ไม่ประมาทในธรรมทั้งหลาย
ไม่ประมาท คือมี สติพร้อม
คอยหน่วงน้อม ธรรมคุณ ไม่ผลุนผลัน
ธรรมอันใด ไม่ดี หลีกหนีพลัน
ธรรมดีนั้น ยึดแน่น ไม่แคลนคลอน

มงคลที่ 22 มีความเคารพ
ความเคารพ นับถือ คือเสน่ห์
ไม่โลเล เหมือนลิง วิ่งหลอกหลอน
ทั้งต่อหน้า ลับหลัง พึงสังวร
ย่อมงามงอน สวยสง่า ราคาแพง

มงคลที่ 23 มีความถ่อมตน
ไม่พองลม ก้มหัว เจียมตัวด้วย
มรรยาทสวย นิ่มนวล สิ้นส่วนแข็ง
เหมือนงูพิษ ถอดเขี้ยว หมดเรี่ยวแรง
ยามแถลง นอบน้อม พร้อมใจกาย

มงคลที่ 24 มีความสันโดษ
ความสันโดษ พอใจ ในสิ่งของ
เช่นเงินทอง ของตน แม้ล้นหลาย
เมื่อมีน้อย จ่ายน้อย ค่อยสบาย
ความจนหาย เลยลับ กลับมั่งมี

มงคลที่ 25 มีความกตัญญู
กตัญญู รู้บุญ คุณพ่อแม่
คนเฒ่าแก่ แลอาจารย์ ท่านทรงศีล
จอมมุนินทร์ ปิ่นเกล้า เจ้าธานี
หาวิธี แทนคุณ สมดุลกัน

มงคลที่ 26 การฟังธรรมตามกาล
การฟังธรรม ตามกาล ผ่านมาถึง
ควรคำนึง นิ่งนั่ง ฟังขยัน
ย่อมจะเกิด ปัญญา สารพัน
ตั้งใจมั่น ฟังดี นี่สมควร

มงคลที่ 27 มีความอดทน
ความอดทน ตรากตรำ ยามลำบาก
เจ็บไข้มาก ทนได้ ไม่โหยหวน
ถูกเขาด่า ให้ฟัง นั่งหน้านวล
ยิ้มเสสรวล ด้วยขันติ งามวิไล

มงคลที่ 28 เป็นผู้ว่าง่าย
ควรเป็นคน สอนง่าย ไม่ตายด้าน
ก่อรำคาญ ค่ำเช้า ไม่เข้าไหน
ไม่ซัดโทษ ของตน ให้คนใด
เมื่อมีใคร สอนพร่ำ ให้นำมา

มงคลที่ 29 การได้เห็นสมณะ
การพบเห็น สมณะ ผู้สงบ
แล้วนอบนบ ถามไถ่ ไตรสิกขา
หมั่นฝึกหัด ทุกวัน ด้วยปัญญา
ย่อมชักพา จิตตรง มงคลมี

มงคลที่ 30 การสนทนาธรรมตามกาล
ยามหดหู่ ฟุ้งซ่าน กาลสงสัย
เป็นสมัย ไต่ถาม ตามเหตุผล
เพื่อบรรเทา คลี่คลาย หายกังวล
ควรจะสน- ทนาธรรม ตามที่ควร

มงคลที่ 31 การบำเพ็ญตบะ
พึงบำเพ็ญ ตบะ ละกิเลส
อันเป็นเหตุ หักห้าม กามฉันท์
มุ่งทำลาย ถ่ายบาป สาบสูญพันธุ์
เข้าสู่ขั้น สุโข ฌาณโกลีย์

มงคลที่ 32 การประพฤติพรหมจรรย์
เร่งประพฤติ พรหมจรรย์ อันประเสริฐ์
เพื่อให้เกิด สุขล้วน โดยถ้วนถี่
ตั้งแต่ทาน ถึงสิกขา บรรดามี
สมบูรณ์ดี พรหมจรรย์ ย่อมมั่นคล

มงคลที่ 33 การเห็นอริยสัจ
การรู้เห็น ความจริง สิ่งเที่ยงแท้
ไม่ผันแปร สี่ชนิด ไม่ผิดหลง
ตัดตัณหา มูลราก พรากทุกข์ลง
เป็นการส่ง ข้ามฟาก จากสาคร

มงคลที่ 34 การทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน
ทำให้แจ้ง นิพพาน ผลาญสังโยชน์
ตรวจตราโทษ ธาตุ ขันธ์ หมั่นฝึกถอน
เอาอรหัต มรรคญาณ เผาราญรอน
ดับทุกข์ร้อน นิพพาน สำราญนัก

มงคลที่ 35 การมีจิตไม่หวั่นไหวในโลกธรรม
ท่านผู้ใด ใจดำรง อยู่คงที่
ในเมื่อมี โลกธรรม ครอบงำหนัก
เช่น ลาภ ยศ สุข เศร้า เข้าง้างชัก
มิอาจยัก โยกท่าน ให้หวั่นใจ

มงคลที่ 36 การมีจิตไม่โศกเศร้า
คราวพลักพราก จากญาติ ขาดชีวิต
ถูกพิชิต จองจำ ทำโทษใหญ่
มีสติ คุมจิต เป็นนิตย์ไป
ไม่เสียใจ โศกเศร้า เฝ้าประคอง

มงคลที่ 37 มีจิตปราศจากกิเลส
หมดราคะ โทสะ โมหะแล้ว
จิตผ่องแผ้ว เลิศดี ไม่มีสอง
ย่อมมีค่า สูงจริง ยิ่งเงินทอง
เหมือนสูริย์ส่อง ท้องฟ้า สง่างาม

มงคลที่ 38 มีจิตเกษม
จิตเกษม เปรมปรีดิ์ ดีตลอด
เป็นจิตปลอด จากโอฆ ในโลกสาม
เครื่องผูกมัด สลัดหมด แสนงดงาม
เข้าถึงความ สุขสันต์ นิรันดร



ที่มา - fungdham

"The current Buddha: Who?"

"The current Buddha: Who?"

The current Buddha is Buddha Shakyamuni or historical Buddha, because it is his doctrine that Buddhists follow, however there are countless Buddhas (enlightened beings) however they have either not taken rebirth on this planet or were deciples of Buddha Shakyamuni.

To be honest, I don't think its an actual title like the dalia lama. Anyone can become a Buddha; its simply a term like 'father', 'minister' etc. 

Answer:
"Buddha" is not a title like "Pope" or "King" it indicates a condition of enlightenment. It is not given to a single person and it is not limited to one person. Monotheistic religions sometimes have a problem with the concept that there is no one in charge.
In Mahayana Buddhism any number of enlightened individuals can forego Nirvana to return to the world to help others. Typically the designation of "buddha" or "bohhisattva" is limited to leaders of Buddhist thought or teachers.
HH the Dalai Lama and Panchen Lama are examples of many lineages of living Buddhas (tulku) in Tibetan Buddhism.

Read more: http://wiki.answers.com

Do you believe in this answer? Come visit and see in India then you will get an answer. 



ตำนานธชัคคสูตร

ตำนานธชัคคสูตร

ธชัคคสูตร เป็นมนต์บทที่ ๕ ใน ๗ ตำนาน ธชัคคสูตรนี้ แปลว่าเรื่องยอดธงหรือชายธง เป็นสูตรใหญ่ โดยมากนิยมสวดทั้งสูตรเฉพาะภายในวัด เช่น สวดประจำพรรษา ในพระอุโบสถเพราะใช้เวลามาก ถ้าจะสวดทำบุญตามบ้าน หรือแม้ในพระบรมมหาราชวัง ก็ไม่สวดเต็ม ตัดสวดเฉพาะพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ และพระสังฆคุณ นี้นิยมเป็นเนติปฏิบัติสืบมา อนึ่ง ในสมัยเมื่อแรกมีงานสาบานธง หรือ ฉลองธงประจำกอง ที่ได้รับพระราชทานใหม่ พระเคยสวดธชัคคสูตรเต็มสูตรบ้าง เห็นจะมุ่งอนุวัตรให้เข้ากับเรื่องธง ดูก็เหมาะสมดี บัดนี้ไม่เห็นสวดแล้ว 

ธชัคคสูตรนี้ มีตำนานเล่าว่า สมัยหนึ่ง เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จประทับ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ณ เมืองสาวัตถี ทรงมีพระประสงค์จะเตือนพุทธบริษัทให้ใส่ใจหมั่นระลึกถึงคุณพระรัตนตรัย เพื่อเพิ่มพูนกำลังใจในการปฏิบัติ ระงับความฟุ้งซ่านจิต ระงับความสะดุ้งหวาดเสียวขณะที่ประสบภัย ทั้งประสงค์จะประกาศอานุภาพของพระรัตนตรัย ว่าทรงคุณ ควรแก่การระลึกถึงจริงๆ จึงได้แสดงธชัคสูตร

เ ป็นความจริงเหลือเกิน ที่การใส่ใจ เป็นคุณสมบัติผลักดันสรรพธุระของทุกคนที่ประกอบให้พลันลุล่วง ไม่ว่าธุระนั้น จะเป็นทางโลก หรือ ทางธรรม ไม่ว่าจะเป็นโลกียะหรือโลกุตตระ ไม่ว่าจะเป็นธุระในป่าหรือในบ้าน จะเป็นส่วนตัวหรือส่วนรวม ถ้าได้ลงมือปฏิบัติแล้ว หากขาดความใส่ใจ ไม่ระลึกถึง ธุระนั้นก็ยากที่จะสำเร็จ ตรงข้ามกับมีคุณธรรม คือ การใส่ใจ หมั่นระลึกถึงธุระนั้นไว้เนื่องๆ แม้ที่สุด การหลีกจากความวุ่นวายของสังคม เร้นหาความสงบสุขก็ดี ในทางพระพุทธศาสนาได้แสดงอนุสสติไว้ ๑๐ ประการ ว่าเป็นอารมณ์ทำใจให้สงบสุข ในอนุสสติทั้ง ๑๐ นั้น พุทธานุสสติ ธัมมานุสสติ และสังฆานุสสติ ๓ ประการ ที่จะกล่าวในที่นี้เป็นอนุสสติที่ไม่จำกัดบุคคล ไม่เลือกนิสัย ไม่เป็นข้าศึกแก่ธรรมารมณ์ เหมาะแก่ชนทุกชั้น ทุกวัย ทุกเพศ และทุกกาล ดังนั้น ผู้รู้จึงสรรเสริญ

อ นุสสติ คือ การระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสงฆ์เจ้า นั้น ความจริงไม่เพียงเป็นทางให้จิตผ่องใส สดชื่น มีปิติ อิ่มใจ ให้สงบอารมณ์ฟุ้งซ่าน เท่านั้น พระบรมศาสดายังตรัสบอกว่า ยังเป็นคุณช่วยกำจัดความสดุ้ง หวาดเสียว ถึงตัวสั่นได้ด้วย

ค วามกลัว ซึ่งเรียกว่า ภัย นั้น ย่อมบังเกิดแก่ผู้แม้จะนั่งอยู่ในที่วิเวก ชนิดที่เรียกว่า ปลอดสรรพภัยพิบัติทั้งหลายแล้วได้ เพราะเขาผู้นั้นอาจกลัวต่อความเงียบ แปลว่า ความเงียบที่เขาต้องการกลับเป็นภัยขึ้นก็ได้ บางคราว ก็กลัวแม้แต่เสียงลมพัด นกร้อง จิ้งหรีดร้อง ตุ๊กแกร้อง เสียงใบไม้แกรกกราก เสียงกิ่งไม้แห้งตกลงมา ก็เกิดขนลุกขนพอง นั่งอยู่ไม่ได้ กลัวแม้แต่เงาของตัวเอง หวาดแม้แต่เสียงฝีเท้าของตัวเองและบางครั้งก็ขลาดต่ออารมณ์ที่นึกสร้างขึ้นม าเป็นรูปหลอนใจ ให้สะดุ้งคิดเห็นเป็นลางร้ายจักให้โทษ เบียดเบียน ภัยเหล่านี้ใครช่วยไม่ได้ แม้จะมีแสนยานุภาพก็ไม่สามารถจะช่วยบำบัดได้ ด้วยเป็นอารมณ์เกิดกับจิต ผู้นั้นอาจคิดเห็นไปว่า ผู้ที่ติดตามให้อารักขาเหล่านั้นแล กำลังจะเป็นศัตรูร้ายต่อตัวในขณะนี้ ดังนั้น ภัยเหล่านี้จึงมีอำนาจเหมือนภัยทั้งหลาย

พ ระบรมศาสดาทรงพระมหากรุณาประทาน ธชัคคสูตร โดยตรัสสอนให้ใส่ใจ หมั่นระลึกถึงคุณพระรัตนตรัย เพราะอานุภาพของคุณพระรัตนตรัยที่บุคคลหมั่นระลึกไว้ดีแล้ว จักสามารถบำบัดสรรพภัยทั้งผองนี้ได้ ทั้งตรัสว่า ทรงอานุภาพเหนืออำนาจเทพเจ้าชั้นสูงสุดด้วย โดยตรัสเล่าเรื่องเก่าๆ ให้ภิกษุทั้งหลายฟังว่า

แ ต่ปางก่อน เมื่อสงครามเทวดากับอสูร ได้ประชิดกันขึ้นในเทวโลก ครั้งนั้น เหล่าเทวดาก็มีความสะดุ้งหวาดกลัวต่อพวกอสูรไม่น้อยถึงกับท้าวสักกะผู้เป็นจ อมเทพเจ้า ๓ ชั้นฟ้า ให้ประชุมเทพยดาทั้งสิ้น แล้วจัดทำธงชัยประจำทัพทั้ง ๔ ทิศ เป็นสัญญาณต่อต้านพวกอสูร โดยเทวบัญชาว่า “ ดูก่อนท่านผู้นิรทุกข์ ในขณะทำสงครามกับเห

ล่าอสูร ความกลัว ความสะดุ้ง ขนพองสยองเกล้า อันจะทำให้เสียกำลังรบ อาจเกิดมีแก่บางท่านได้ ดังนั้น ถ้าคราวใดเกิดมีความกลัวขึ้น ขอให้ทุกท่านจงมองดูชายธงของเรา แล้วความกลัว ความสะดุ้ง ขนพองสยองเกล้าของท่านจะหายไปได้ หรือถ้าไม่มองชายธงของเรา ก็จงมองดูชายธงของท้าวปชาบดี ของท้าววรุณ หรือของท้าวอีสานะ องค์ใดองค์หนึ่ง เมื่อท่านทั้งหลายได้มองดูชายธงแล้ว ความกลัว ความสดุ้ง ขนพองสยามเกล้าจักหายไป

ภ ิกษุทั้งหลาย ถึงเทวดาที่มองดูชายธงของท้าวเทวราชทั้ง ๔ พระองค์นั้น บางครั้งก็หาย บางครั้งก็ไม่หาย คือ หายบ้าง ไม่หายบ้าง หรือ หายแล้วก็กลับกลัวอีก ข้อนั้น เพราะอะไร ภิกษุทั้งหลาย เพราะท้าวสักกะเทวราช ท้าวปชาบดี ท้าววรุณ และท้าวอีสานะ ผู้เป็นเจ้าของธงชัยนั้น ยังมีราคะ ยังมีโทสะ ยังมีโมหะ ยังมีกิเลส จึงยังกลัว ยังหวาดเสียว ยังสดุ้ง ยังหนีอยู่ ก็เมื่อจอมเทพ จอมทัพ ยังกลัว ยังสะดุ้ง ยังหนีอยู่แล้วอย่างไร ชายธงของท้าวเธอจึงจะบำบัด ความกลัว ความสะดุ้ง ความหวาดเสียว ที่ทำให้เสียขวัญถึงแก่หนี ไม่คิดสู้เขาเสมอไปได้เล่า

ภ ิกษุทั้งหลาย ส่วนพระรัตนตรัย ที่ท่านทั้งหลายคารวะนับถือปฏิบัติอยู่นั้น ทรงคุณ ทรงอานุภาพ เหนือท้าวเทวราชเหล่านั้น เหนือธงชัยของท้าวเทวราชเหล่านั้น ดังนั้น เมื่อท่านทั้งหลาย จะอยู่ในป่าก็ตาม อยู่ที่โคนไม้ก็ตาม หรือจะอยู่ในเรือนว่างก็ตาม หากความกลัวหรือความหวาด ความสะดุ้ง ขนพองสยองเกล้า ก็ดี บังเกิดขึ้น ท่านทั้งหลายพึงระลึกถึงพระพุทธเจ้าว่า “ อิติปิ โส ภควา อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ” เป็นต้น เมื่อท่านทั้งหลายระลึกด้วยดีแล้ว ความกลัว ความสะดุ้ง ขนพองสยองเกล้าเหล่านั้นจักหายไป
ภ ิกษุทั้งหลาย หากท่านทั้งหลายจะไม่ระลึกถึงพระพุทธเจ้า ก็พึงระลึกถึงพระธรรมเจ้าว่า “ สวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม” เป็นต้น หรือไม่ก็พึงระลึกถึงพระสงฆ์เจ้าว่า “ สุปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสงฺโฆ” เป็นต้น ก็ได้ ด้วยอานุภาพคุณพระธรรมและพระสงฆ์นั้น จัดบำบัดความกลัว ความสะดุ้ง ขนพองสยองเกล้าให้หายไปแท้เทียว ข้อนั้นเพราะอะไร

ภ ิกษุทั้งหลาย เพราะพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าไม่มีราคะ ไม่มีโทสะ ไม่มีโมหะ ไม่มีกิเลส ไม่กลัว ไม่หวาด ไม่สะดุ้ง ขนพองสยองเกล้าใดๆ ไม่หนี ดังนั้น อานุภาพของพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า และพระสงฆ์เจ้า จึงสามารถบำบัดความกลัว ความสะดุ้ง ขนพองสยองเกล้าของบุคคลที่มาระลึกถึงให้หายไปได้เสมอแท้ทีเดียว ด้วยเหตุที่กล่าวมานี้ แสดงว่า พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ และพระสังฆคุณ เป็นคุณอันทรงอานุภาพ ควรแก่การเจริญ ควรแก่การระลึกอย่างยิ่ง ฯ. ธชัคคสูตร
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย  สคาถาวรรค

ธชัคคสูตร เป็นพระสูตรที่ว่าด้วยอานุภาพแห่งการระลึกถึง    พระรัตนตรัย ที่พระพุทธองค์ทรงนำเอาเรื่องการทำสงครามระหว่างเทพกับเทพอสูรมาเป็นข้อ เปรียบเทียบ เพื่อเตือนใจภิกษุผู้ไปทำความเพียร อยู่ตามป่าเขาลำเนาไพรอันเงียบสงัด ห่างไกลจากผู้คนสัญจรไปมา

การ อยู่ท่ามกลางป่ากว้างดงลึกของภิกษุผู้ยังเป็นปุถุชนเช่นนั้น ย่อมจะก่อให้เกิดความหวาดกลัวขนผองสยองเกล้า เมื่อเกิดความรู้สึก  หวาดกลัว พระพุทธองค์แนะนำให้ภิกษุระลึกถึงธง คือ พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ หรือพระสังฆคุณ  แล้วจะสามารถข่มใจระงับความหวาดกลัวบำเพ็ญเพียร ต่อไปได้
การส วดธชัคคสูตรก็เพื่อเป็นการทำลายความหวาดกลัวขนพองสยองเกล้า สำหรับผู้ที่ต้องเดินทางไปอยู่ต่างถิ่น หรือในสถานที่ที่ไม่       คุ้นเคย โดยน้อมเอาคุณของพระรัตนตรัยมาสร้างเสริมกำลังใจให้เกิด ความอาจหาญแกล้วกล้าในการต่อสู่อันตรายและอุปสรรคนานาประการ

นอกจากนั้น ธชัคคสูตรยังช่วยคุมครองป้องกันอันตรายจากที่สูง หรืออันตรายทางอากาศ เช่น อันตรายจากการขึ้นต้นไม้สูง  อันตรายจากการเดินทางที่ต้องผ่านหุบเขาเหวผาสูงชัน อันตรายจากสิ่งที่ตกหล่นมาจากอากาศ และในปัจจุบันยังนิยมใช้สวดเพื่อป้องกันอันตรายอันจะเกิดจากการเดินทางโดย เครื่องบิน
โดยทั่วไปการสวดบทธชัคคสูตรไม่นิยมสวดทั้งสูตร แต่จะสวดเฉพาะบทสรรเสริญพระพุทธคุณ  พระธรรมคุณ  พระสังฆคุณ  ซึ่งเป็นหัวใจของพระสูตรนี้  เราเรียกกันโดยทั่วไปว่า  "สวดอิติปิโส"   เว้นไว้แต่มีเวลามากและต้องการสวดเป็นกรณีพิเศษจึงจะสวดทั้งสูตร

ธชัคคสูตร

เอ วัมเม  สุตัง  ฯ  เอกัง  สะมะยัง  ภะคะวา  สาวัตถิยัง  วิหะระติ  เชตะวะเน  อะนาถะปิณฑิกัสสะ  อาราเม  ฯ  ตัตระ  โข  ภะคะวา  ภิกขู  อามันเตสิ  ภิกขะโวติ  ฯ  ภะทันเตติ  เต  ภิกขู  ภะคะวะโต  ปัจจัสโสสุง  ฯ  ภะคะวา  เอตะทะโวจะ

ภูตะปุพพัง  ภิกขะเว  เทวาสุระสังคาโม  สะมุปัพะยุฬโห  อะโหสิฯ  อะถะโข  ภิกขะเว  สักโก  เทวานะมินโท  เทเว  ตาวะติงเส  อามันเตสิ  สะเจ  มาริสา  เทวานัง  สังคามะคะตานัง  อุปปัชเชยยะ  ภะยัง  วา  ฉัมภิตัตตัง  วา  โลมะหังโส  วา  มะเมวะ  ตัสะมิง  สะมะเย  ธะชัคคัง  อุลโลเกยยาถะ  มะมัง  หิ  โว  ธะชัคคัง  อุลโลกะยะตัง  ยัมภะวิสสะติ  ภะยัง  วา  ฉัมภิตัตตัง  วา  โลมะหังโส  วา  โส  ปะหิยยิสสะติ  โน  เจ  เม  ธะชัคคัง  อุลโลเกยยาถะ

อะถะ ปะชาปะติสสะ  เทวะราชัสสะ  ธะชัคคัง  อุลโลเกยยาถะ  ปะชาปะติสสะ  หิ  โว  เทวะราชัสสะ  ธะชัคคัง  อุลโลกะยะตัง                      ยัมภะวิสสะติ  ภะยัง  วา  ฉัมภิตัตตัง  วา  โลมะหังโส  วา  โส  ปะหิยยิสสะติ  โน  เจ  ปะชาปะติสสะ  เทวะราชัสสะ  ธะชัคคัง  อุลโลเกยยาถะ

อะถะ  วะรุณัสสะ  เทวะราชัสสะ  ธะชัคคัง  อุลโลเกยยาถะ  วะรุณัสสะ  หิ  โว  เทวะราชัสสะ  ธะชัคคัง  อุลโลกะยะตัง  ยัมภะวิสสะติ  ภะยัง  วา  ฉัมภิตัตตัง  วา  โลมะหังโส  วา  โส  ปะหิยยิสสะติ  โน  เจ  วะรุณัสสะ  เทวะราชัสสะ  ธะชัคคัง  อุลโลเกยยาถะ

อะ ถะ  อีสานัสสะ  เทวะราชัสสะ  ธะชัคคัง  อุลโลเกยยาถะ  อีสานัสสะ หิ   โว   เทวะราชัสสะ   ธะชัคคัง   อุลโลกะยะตัง   ยัมภะวิสสะติ  ภะยัง  วา  ฉัมภิตัตตัง   วา  โลมะหังโส  วา  โส  ปะหิยยิสสะตีติ  ฯ
ตัง  โข  ปะนะ  ภิกขะเว  สักกัสสะ  วา  เทวานะมินทัสสะ  ธะชัคคัง   อุลโลกะยะตัง  ปะชาปะติสสะ  วา  เทวะราชัสสะ   ธะชัคคัง อุลโลกะยะตัง   วะรุณัสสะ  วา  เทวะราชัสสะ  ธะชัคคัง  อุลโลกะยะตัง  อีสานัสสะ  วา  เทวะราชัสสะ  ธะชัคคัง  อุลโลกะยะตัง  ยัมภะวิสสะติ  ภะยัง  วา  ฉัมภิตัตตัง   วา  โลมะหังโส  วา  โส  ปะหิยเยถาปิ  โนปิ  ปะหิยเยถะ  ตัง  กิสสะ  เหตุ  สักโก  หิ  ภิกขะเว  เทวานะมินโท  อะวีตะราโค  อะวีตะโทโส  อะวีตะโมโห  ภิรุฉัมภี  อุตะราสี  ปะลายีติ  ฯ

อะหัญจะ  โข  ภิกขะเว  เอวัง  วะทามิ  สะเจ  ตุมหากัง  ภิกขะเว  อะรัญญะคะตานัง  วา  รุกขะมูละคะตานัง  วา  สุญญาคาระคะตานัง  วา  อุปปัชเชยยะ  ภะยัง  วา  ฉัมภิตัตตัง  วา  โลมะหังโส  วา  มะเมวะ  ตัสะมิง  สะมะเย  อะนุสสะเรยยาถะ

อิติปิ  โส   ภะคะวา   อะระหัง   สัมมาสัมพุทโธ  วิชชาจะระณะ - สัมปันโน  สุคะโต  โลกะวิทู   อะนุตตะโร   ปุริสะทัมมะสาระถิ  สัตถา เทวะมะนุสสานัง  พุทโธ ภะคะวาติ มะมัง  หิ  โว ภิกขะเว  อะนุสสะระตัง  ยัมภะวิสสะติ  ภะยัง  วา  ฉัมภิตัตตัง  วา  โลมะหังโส  วา   โส  ปะหิยยิสสะติ   โน  เจ  มัง  อะนุสสะเรยยาถะ  อะถะ  ธัมมัง  อะนุสสะเรยยาถะ

สวากขาโต   ภะคะวะตา   ธัมโม  สันทิฏฐิโก   อะกาลิโก             เอหิปัสสิโก  โอปะนะยิโก  ปัจจัตตัง  เวทิตัพโพ  วิญญูหีติ ธัมมัง  หิ  โว  ภิกขะเว   อะนุสสะระตัง   ยัมภะวิสสะติ   ภะยัง   วา  ฉัมภิตัตตัง  วา  โลมะหังโส   วา  โส  ปะหิยยิสสะติ  โน  เจ  ธัมมัง  อะนุสสะเรยยาถะ  อะถะ   สังฆัง   อะนุสสะเรยยาถะ
สุปะฏิปันโน  ภะคะวะโต  สาวะกะสังโฆ  อุชุปะฏิปันโน               ภะคะวะโต  สาวะกะสังโฆ  ญายะปะฏิปันโน  ภะคะวะโต  สาวะกะสังโฆ  สามีจิปะฏิปันโน  ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ  ยะทิทัง  จัตตาริ ปุริสะยุคานิ  อัฏฐะ  ปุริสะปุคคะลา  เอสะ  ภะคะวะโต  สาวะกะสังโฆ  อาหุเนยโย    ปาหุเนยโย  อัญชะลีกะระณีโย  อะนุตตะรัง  ปุญญักเขตตัง  โลกัสสาติ

สังฆัง  หิ  โว  ภิกขะเว  อะนุสสะระตัง  ยัมภะวิสสะติ  ภะยัง   วา  ฉัมภิตัตตัง  วา  โลมะหังโส  วา  โส  ปะหิยยิสสะติ  ตัง  กิสสะ  เหตุ    ตะถาคะโต  หิ  ภิกขะเว  อะระหัง  สัมมาสัมพุทโธ  วีตะราโค   วีตะโทโส   วีตะโมโห  อะภิรุ  อัจฉัมภี  อะนุตราสี  อะปะลายีติ   ฯ  อิทะมะโวจะ   ภะคะวา  อิทัง  วัตะวานะ  สุคะโต  อะถาปะรัง  เอตะทะโวจะ  สัตถา

อะรัญเญ  รุกขะมูเล  วา                 สุญญาคาเร  วะ  ภิกขะโว
อะนุสสะเรถะ  สัมพุทธัง                 ภะยัง  ตุมหากะ  โน  สิยา
โน  เจ  พุทธัง  สะเรยยาถะ           โลกะเชฏฐัง  นะราสะภัง
อะถะ   ธัมมัง  สะเรยยาถะ             นิยยานิกัง  สุเทสิตัง
โน  เจ  ธัมมัง  สะเรยยาถะ            นิยยานิกัง  สุเทสิตัง
อะถะ  สังฆัง  สะเรยยาถะ             ปุญญักเขตตัง อะนุตตะรัง
เอวัมพุทธัง  สะรันตานังธัมมัง  สังฆัญจะ  ภิกขะโว
ภะยัง  วา  ฉัมภิตัตตัง  วาโลมะหังโส  นะ  เหสสะตีติ  ฯ

คำแปล 
ข้าพเจ้า   ได้สดับมาอย่างนี้

สมัย หนึ่ง  พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จประทับอยู่ที่พระเชตวันวิหาร  อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีใกล้พระนครสาวัตถี  ใน             เวลานั้น  พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า  "ภิกษุทั้งหลาย" ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า  "พระพุทธเจ้าข้า"  ดังนี้แล้ว       พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสพระพุทธพจน์ต่อไปว่า

ภิกษุ ทั้งหลาย  เรื่องราวในอดีตกาลอันไกลโพ้นเคยมีมา              แล้ว  ได้เกิดสงครามระหว่างเหล่าเทวดากับเหล่าอสูรขึ้น  ครั้งนั้น                             ท้าวสักกเทวราช  ผู้เป็นใหญ่ในหมู่เทพ  ตรัสเรียกเทวดาในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์มาสั่งว่า  ท่านผู้นิรทุกข์ทั้งหลาย  ถ้าพวกเทวดาเข้าสู่สงครามแล้วเกิดความกลัว  หวาดสะดุ้ง  ขนพองสยองเกล้า  ขอให้ท่านทั้งหลายแลดูยอดธงของเรา  เพราะเมื่อพวกท่านแลดูยอดธงของเราแล้วความกลัว      ความหวาดสะดุ้ง  ความขนพองสยองเกล้าที่มีอยู่จักหายไป

ถ้าพวกท่านทั้งหลายแลดูยอดธงเราไม่ ได้  ก็ขอให้แลดูยอดธงของเทวราชชื่อปชาบดี  เพราะเมื่อท่านทั้งหลายมองดูยอดธงของเทวราชชื่อปชาบดีแล้ว  ความกลัว  ความหวาดสะดุ้ง  ความขนพองสยองเกล้าที่มีอยู่จักหายไป

ถ้าท่านทั้งหลายแล ดูยอดธงของเทวราชชื่อปชาบดีไม่ได้      ก็ให้แลดูยอดธงของเทวราชชื่อวรุณ  เพราะเมื่อท่านแลดูยอดธงของเทวราช ชื่อวรุณแล้ว  ความกลัว  ความหวาดสะดุ้ง  ความขนพองสยองเกล้าที่มีอยู่จักหายไป

ถ้าท่านทั้งหลายแลดูยอดธงของเท วราชชื่อวรุณไม่ได้  ก็ให้ แลดูยอดธงของเทวราชชื่ออีสาน  เพราะเมื่อท่านแลดูยอดธงของเทวราชชื่ออีสานแล้ว  ความกลัว  ความหวาดสะดุ้ง  ความขนพองสยองเกล้าที่มีอยู่จักหายไป

ภิกษุทั้งหลาย  แท้จริงแล้ว  เมื่อเหล่าเทวดาทั้งหลายแลดูยอดธงของท้าวสักกเทวราช  แลดูยอดธงของเทวราชชื่อปชาบดี  แลดูยอดธงของเทวราชชื่อวรุณ  หรือแลดูยอดธงของเทวราชชื่ออีสาน  ความกลัว  ความหวาดสะดุ้ง  ความขนพองสยองเกล้าที่มีอยู่  บางทีก็หายได้  บางทีก็ไม่หาย  เพราะเหตุไร   ภิกษุทั้งหลาย  เพราะว่าท้าวสักกเทวราชยังไม่สิ้นราคะ     ยังไม่สิ้นโทสะ  ยังไม่สิ้นโมหะ  ยังกลัว  ยังหวาดสะดุ้ง  ยังต้องหนี

ภิกษุทั้งหลาย  ส่วนเราตถาคตกล่าวอย่างนี้ว่า  ถ้าพวกเธอ       ทั้งหลายไปอยู่ตามป่า  ตามโคนไม้  ตามบ้านร้าง  หรือที่อื่นใดแล้วเกิด ความกลัว   หวาดสะดุ้ง   ขนพองสยองเกล้า  ขอให้เธอทั้งหลายระลึกถึงเราตถาคตว่า

"เพราะเหตุอย่าง นี้ๆ พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น  เป็นผู้ไกลจากกิเลส  ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เองทรงถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ  เสด็จไปดีแล้ว  ทรงรู้โลกอย่างแจ่มแจ้ง  สามารถฝึกบุรุษที่สมควรฝึกได้อย่างไม่มีใครยิ่งกว่า  ทรงเป็นครูของเหล่าเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย  เป็นผู้รู้  ผู้ตื่น  ผู้เบิกบานด้วยธรรม  ทรงมีความสามารถในการจำแนกธรรมสั่งสอนสัตว์  ฯ"

ภิกษุทั้งหลาย  เพราะเมื่อเธอทั้งหลายระลึกถึงตถาคตอยู่  ความกลัว  ความหวาดสะดุ้ง  ความขนพองสยองเกล้าที่มีอยู่จักหายไป

ถ้า ระลึกถึงตถาคตไม่ได้  ก็ให้ระลึกถึงพระธรรมว่า "พระธรรม เป็นธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว  ผู้ศึกษาและปฏิบัติพึงเห็นได้ด้วยตนเอง  เป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้และให้ผลได้ไม่จำกัดกาล  สามารถ แนะนำผู้อื่นให้มาพิสูจน์ได้ว่า "ท่านจงมาดูเถิด" ควรน้อมนำมาไว้ในตัว  ผู้รู้ก็รู้ได้เฉพาะตน  ฯ"
ภิกษุทั้งหลาย  เพราะเมื่อท่านทั้งหลายระลึกถึงพระธรรมอยู่  ความกลัว  ความหวาดสะดุ้ง  ความขนพองสยองเกล้าที่มีอยู่จักหายไป

ถ้า ระลึกถึงพระธรรมไม่ได้  ก็ให้ระลึกถึงพระสงฆ์ว่า  "พระสงฆ์เป็นสาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าปฏิบัติดีแล้ว ปฏิบัติตรงแล้วปฏิบัติ       เพื่อรู้ธรรมเป็นเครื่องออกจากทุกข์  ปฏิบัติเหมาะสม  ได้แก่บุคคล           เหล่านี้คือ  คู่แห่งบุรุษ ๔  คู่ นับเรียงลำดับได้ ๘ ท่าน นั่นแหละพระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า  ซึ่งเป็นผู้ควรแก่สักการะที่เขาน้อมนำมาบูชา  ควรแก่สักการะที่เขาเตรียมไว้ต้อนรับ  ควรรับทักษิณาทาน  เป็น ผู้ที่บุคคลทั่วไปควรให้ความเคารพ  เป็นเนื้อนาบุญของโลก  ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า  ฯ"

ภิกษุทั้งหลาย  เพราะเมื่อเธอทั้งหลาย  ระลึกถึงพระสงฆ์แล้ว  ความกลัว  ความหวาดสะดุ้ง  ขนพองสยองเกล้าที่มีอยู่จักหายไป  ที่เป็นเช่นนี้เพราะตถาคตเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าสิ้นราคะ  สิ้นโทสะ  สิ้นโมหะ  ไม่มีความกลัว  ไม่หวาดสะดุ้ง   ไม่หนี  พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้สุคตศาสดา   ครั้นตรัสพุทธพจน์นี้แล้วจึงตรัสนิคมคาถาประพันธ์  ต่อไปอีกว่า

ภิกษุทั้งหลาย  เมื่อเธอทั้งหลายไปอยู่ตามป่า  ตามโคนไม้     หรือตามบ้านร้าง  ให้ระลึกถึงพระพุทธเจ้าแล้วพวกเธอก็จะไม่มี            ความหวาดกลัว  ถ้าพวกเธอทั้งหลายไม่สามารถระลึกถึงพระพุทธเจ้า  ผู้เป็นใหญ่ในโลก  ผู้แกล้วกล้ากว่านรชน  ก็ให้ระลึกถึงพระธรรม             อันสามารถนำสัตว์ออกจากทุกข์  ที่เราแสดงไว้ดีแล้วเถิด  ถ้าพวกเธอไม่สามารถระลึกถึงพระธรรมที่สามารถนำสัตว์ออกจากทุกข์อันเราแสดง ไว้ดีแล้ว  ต่อจากนั้น  ก็ให้ระลึกถึงพระสงฆ์ผู้เป็นเนื้อนาบุญของโลกไม่มี นาบุญอื่นยิ่งกว่า  ภิกษุทั้งหลาย  เมื่อท่านทั้งหลายน้อมรำลึกถึงพระพุทธเจ้า  พระธรรม  และพระสงฆ์อยู่อย่างนี้  ความกลัว  ความหวาดสะดุ้ง  ความขนพองสยองเกล้าก็จักไม่มีแล  ฯ



มหาสมัยสูตร ตำนานมหาสมัยสูตร

มหาสมัยสูตร 
ตำนานมหาสมัยสูตร

พระพุทธมนต์มหาสมัยสูตรนี้ เป็นพระบาลีคาถาปัฐยาวัตร พร้อมทั้งอรรถและพยัญชนะก็บริบูรณ์สุนทรภาษิตเป็นที่เจริญจิตเจริญใจของเทวด าและมนุษย์ทั้งหลายผู้ตั้งใจสดับสุดแต่ว่า เมื่อยกขึ้นกล่าวคราวใด ในสถานที่ใด ก็เป็นมงคลในคราวนั้น ในสถานที่นั้น ดังนั้น แต่โบราณกาล ทุกครั้งที่มีการประชุมใหญ่เพื่อมงคลสมัย ก็นิยมอาราธนาพระสงฆ์มาเจริญพระพุทธมนต์มหาสมัยสูตรนี้ ท่านผู้รู้กล่าวว่า มหาสมัยสูตรนี้ เป็นพระคาถาที่เทพเจ้าพอใจมาประชุมสดับ ด้วยเหตุนี้ ถ้าจะมีการสวดมหาสมัยสูตรนี้มีนิยมให้เจ้าของงานจัดตั้งเสนาสนะให้เรียบร้อย ทำให้สะอาด ตกแต่งให้งาม อาสนะของพระสงฆ์ต้องลาดผ้าขาว เพดานก็ใช้ขึงผ้าแดง หรือ ผ้าขาวแต่ระบายรอบเป็นผ้าแดง ห้อยย้อยด้วยบุบผามาลัย เพราะนิยมว่าจะมีเทพเจ้าทั้งหลาย มีภุมมเทวดา เป็นต้น มาประชุมฟังด้วย หากแต่ส่วนมากนิยมจัดทำเฉพาะในคราวมีงานพิธีสมรสอันนิยมเรียกว่า วิวาหมงคล ซึ่งผู้ใหญ่ทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิงพอใจต้องการให้เทพบุตรเทพธิดามาร่วมประชุ มเพื่อสวัสดิมงคลในงาน ถือกันเป็นธรรมเนียมทีเดียว

ถ้าเจ้าภาพต้องการ ให้พระสงฆ์สวดมหาสมัยสูตร ก็ต้องจัดสถานที่ให้ถูกต้องดังกล่าวแล้ว พระสงฆ์ก็จะสวดให้ แม้จะไม่ออกปากร้องเรียน ขอให้ท่านสวดก็ตาม ด้วยสถานที่แสดงชัดให้ท่านทราบ แต่ถ้าไม่จัดสถานที่ให้ถูกต้องดังกล่าว แม้เจ้าของงานมีความประสงค์จะให้สวดมหาสมัยสูตร พระสงฆ์ก็จะอิดเอื้อนไม่ยอมสวดให้ ด้วยจัดที่ไม่สมเกียรติมหาสมัยสูตร

ม ีเรื่องเล่าว่า สมัยเมื่อพระพุทธศาสนาไปประดิษฐานรุ่งเรืองอยู่ที่ลังกาทวีป ครั้งนั้น พระสุตธระรูปหนึ่ง ได้ตั้งกัลยาณจิตสาธยายมหาสมัยสูตรด้วยสมาธิจิต ตั้งแต่ต้นจนจบลงด้วยดี ขณะนั้น เทพธิดาซึ่งสิงอยู่ที่ไม้กากะทิงใหญ่ ใกล้ประตูถ้ำโกฏิบรรพต มีศรัทธาเลื่อมใสมาฟังมหาสมัยสูตร ซึ่งพระสุตธระรูปนั้นสาธยายด้วยจิตสงบจนจบลง เกิดความปิติปราโมทย์เปล่งวาจาสาธุการว่า “ สาธุ สาธุ”

ครั้นพระสุตธระ ได้สดับเสียงสาธุการ ของนางเทพธิดา ก็แปลกใจว่ามีเสียงสาธุของใครปรากฏขึ้นใน

เวลาราตรีเช่นนี้ จึงร้องถามออกไปว่า “ ใครนั้น เปล่งเสียงสาธุการ”
“ดิฉัน เทพธิดา ซึ่งสิงสถิตย์อยู่ที่ไม้กากะทิง แทบประตูถ้ำ”
“ขอโทษเถอะ แม่เทพธิดา สาธุการให้ใครไม่ทราบ”
“ถ้าสาธุการถวายพระคุณท่านซิเจ้าค๊ะ”
“ถวายอาตมาเรื่องอะไร”
“เรื่องสาธยายพระมหาสมัยสูตร ของพระคุณท่านนั่นแหละค่ะ”
“แม่เทพธิดาฟังแต่เมื่อไร”
“ตั้งแต่พระคุณท่านเริ่มทีเดียวค่ะ พระสูตรนี้มีอรรถพยัญชนะไพเราะจริงน๊ะค๊ะ ดิฉันได้ฟังเป็นครั้งที่สองปลาบปลื้มใจมากค่ะ”
“ครั้งที่หนึ่ง แม่เทพธิดาฟังที่ไหนไม่ทราบ”
“ได้ฟังพระบรมศาสดาทรงแสดงด้วยพระองค์เองทีเดียวค่ะ ที่ป่ามหาวัน ตั้งแต่บัดนั้นมาจนบัดนี้ จึงได้ฟังพระคุณท่านเป็นครั้งที่สอง”
“ครั้งนั้น มีผู้คนฟังมากไหม แม่เทพธิดา”
“นอกจากพระสงฆ์พุทธสาวกแล้ว ไม่มีมนุษย์ที่ไหนได้ฟังหรอกค่ะ มีแต่เทพยดามาประชุมกันถึงหมื่นโลกธาตุ สุดที่จะนับประมาณทีเดียวค่ะ”
“แม่เทพธิดาได้เข้าไปอยู่ในที่เฉพาะพระพักตร์พระบรมศาสดา ณ ป่ามหาวันเทียวหรือ”
“แ หม พูดถึงเรื่องนี้ ดิฉันยังอดน้อยใจในวาสนาต่ำต้อยน้อยศักดิ์ สำหรับตัวดิฉันอยู่ไม่หายเลยค่ะ คือ ครั้งนั้น เทพเจ้าผู้มเหศักดิ์มาประชุมกันแน่น อย่าพูดถึงป่ามหาวันเลยค่ะ ที่ดิฉันอยู่ และดิฉันก็มิได้ตั้งใจว่าจะอยู่ด้วย รู้ตัวว่าบุญวาสนาน้อย อุตส่าห์ถอยไปอยู่ป่าชมภูโกละ คิดว่าจะยืนฟังอยู่ที่นั่น ครั้นเทพดาผู้มเหศักดิ์มามากเข้า ก็ต้องถอยไปโรหนะชนบท ถอยไปหลังมหาคาม ในที่สุดตกทะเลเลยลงไปยืนแช่น้ำฟังอยู่เพียงคอ แต่ก็ต้องอดชมบุญตัวอยู่มากเหมือนกันที่ได้ฟังจนได้”
“ก็อยู่ไม่ไกลออกไปเช่นนั้น แม่เทพธิดาจะมองเห็นพระบรมศาสดาละหรือ? จะได้ยินพระสุรเสียงที่ตรงตรัสประทานอยู่หรือ ?”
“ไ ด้ยินเจ้าค่ะ ได้ยินชัดทุกบททุกพยัญชนะเทียวค่ะ แม้พระพักตร์พระบรมศาสดาดิฉันก็เห็นถนัดมากค่ะ เสมือนหนึ่งว่าทรงประทับนั่งแสดงอยู่เฉพาะหน้าดิฉันเทียวค่ะ ดิฉันยังรู้สึกละอายพระองค์ที่ทรงทอดพระเนตรเห็นดิฉันยืนแช่น้ำฟังธรรมอยู่ต ลอดเวลา”
“แม่เทพธิดาทราบไหมว่า ครั้งนั้นที่เทพเจ้าบรรลุมรรคผลประมาณสักเท่าใด”
“ประมาณไม่ได้ดอกพระคุณท่าน มากเหลือเกิน”
“แล้วก็แม่เทพธิดาได้บรรลุอรหันหรือเปล่า”
“ไม่ได้หรอกค่ะ ดิฉันบุญน้อย”
“ถ้าไม่เช่นนั้น แม่เทพธิดาก็คงจะได้บรรลุอนาคามีผล”
“แม้อนาคามีผลก็สุดเอื้อมค่ะ ได้บอกแล้วว่า ดิฉันบุญน้อยมาก”
“มิฉะนั้น ก็ต้องไปพลาดพระสกทาคามี เพราะแม่เทพธิดาตั้งใจฟังดีอย่างนี้”
“ยิ่งกว่าพลาดอีกค่ะ พระคุณท่าน คนโง่นี่ค๊ะ ถึงจะฟังอย่างนี้ก็ยังไม่ได้อยู่นั่นแหละ”
พระสุตธระ ติดใจถามต่อไปอีกว่า “แม้จะพลาดพระสกทาคามี แม่เทพธิดาก็จะต้องได้พระโสดาปัตติผล ไว้เป็นสมบัติใช่ไหม?”
นางเทพธิดาไม่ตอบ ตามวิสัยของพระอริยเจ้า กล่าวเลี่ยงไปว่า “ มีเทพบุตร เทพธิดาบรรลุกันมากค่ะ พระคุณท่าน”
“ทำอย่างไร อาตมาจะได้เห็นแม่เทพธิดา กรุณาแสดงกายให้อาตมาเห็นได้บ้างไหม?”
“อย่าดีกว่าพระคุณท่าน แต่ถ้าพระคุณท่านประสงค์จริงๆ ดิฉันจะแสดงแต่เพียงนิ้วมือ” ว่าแล้วนางเทพธิดาก็ยกนิ้วมือประทับที่ตรงช่องลูกดานประตูวิหาร ด้วยอานุภาพรัศมีนิ้วมือได้แผ่สร้านส่องสว่างไปทั่วบริเวณ ต่อนั้น นางเทพธิดาก็กล่าวเตือนพระสุตธระ ให้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท มั่นอยู่ในไตรสิกขา ที่สุดก็อำลาจากไปในทันใดนั้น
เรื่องนี้ แสดงว่ามหาสมัยสูตรเป็นมนต์ที่บริบูรณ์ด้วยอรรถพยัญชนะพร้อมด้วยอานุภาพ เป็นสิริมงคล ควรแก่การสดับฟังยิ่งนัก

ประการหนึ่ง อานุภาพของมหาสมัยสูตรนั้น ไม่เพียงแต่จะสร้างความสวัสดีมงคลให้แก่สถานที่และผู้สดับเท่านั้น อานุภาพของมหาสมัยสูตรยังช่วยกำจัด ช่วยบรรเทาเคราะห์ร้าย ภัยพิบัติอุปัทวันตราย ตลอดความอัปรีจัญไรโพทัยทิบาตนานาประการอีกด้วย เช่น ลูกอุกาบาต อันมีลักษณะแดงเหมือนดวงไฟ ขนาดโตเท่าผลมะพร้าว หรือผลส้มโอ ลอยจากอากาศตกลงในเวลากลางคืน ถือกันว่า เป็นลางบอกเหตุร้ายจะเกิดขึ้นโบราณก็นิยมอาราธนาพระสงฆ์มาสวดมหาสมัยสูตร เพื่อบรรเทาเหตุร้ายอันจะพึงมีนั้น
เ รื่องเช่นนี้เคยลามปามไปถึงชาวบ้านที่นิยมมหาสมัยสูตร ใช้เป็นวิธีลงโทษภิกษุสามเณรที่เข้าไปบิณฑบาตรในบ้าน หากไปสะเพร่าทำบาตรหรือฝาบาตรตกในลานบ้าน ถือว่ากำลังทำเหตุร้ายไม่เป็นมงคลให้แก่บ้านเขา ต้องให้พระเณรรูปนั้นยืนสวดมหาสมัยป้องกันเหตุร้ายให้ ที่บางแห่งกรุณาให้นั่งบนครกตำข้าว ห้อยเท้าเหยียบพื้นดินตรงนั้นสวดดูๆเหมือนจะลงโทษมากไป แต่ก็เป็นผลดีทำให้พระเณรมีการสังวรถือบาตรดีมาก ทั้งเป็นอุบายให้พระเณรขยันท่องมหาสมัยสูตรไว้ ฉวยพลาดพลั้งจะได้สวดให้เขาได้ เป็นการรับเคราะห์จากเขาเอาไปวัด ให้ความสวัสดีแก่เจ้าของบ้าน

แ ม้ในพระราชพิธีใหญ่ๆ ในพระบรมมหาราชวัง เช่น พิธีตรุษสงกรานต์ แต่ก่อนก็นิยมสวด ทางราชการได้จัดอาราธนาให้พระสวดหนึ่งสำหรับโดยเฉพาะทีเดียว รวมความว่า ในพิธีมงคลใหญ่ นิยมให้สวดมหาสมัยสูตร บัดนี้ ดูห่างๆไป จักเป็นเพราะต้องใช้เวลามาก ด้วยเป็นสูตรใหญ่ โบราณเรียกว่าเป็นมนต์ผูกหนึ่ง แม้ในสมัยนั้น เจ้าภาพก็รู้สึกลำบากใจในเรื่องใช้เวลามาก จะไม่สวดก็เสียดาย จะให้สวดเวลาก็ไม่พอ จึงมีนิยมให้ตัดสวดแต่น้อย สวดเพียง สัฏเฐเต ในท้ายพระสูตร มีจำนวน ๑๒ คาถา
มูลเหตุของพระสูตรนี้มีเรื่องว่า

ส มัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้า ซึ่งทรงปรากฏแก่มวลเทวดาและมนุษย์ว่าเป็นโมลีโลก ซึ่งทรงพระกรุณารื้อขนสัตว์ให้ข้ามจตุรโอฆสงสารนับแต่ทรงมีพระมโนปณิธาน ในอันจะบรรลุถึงซึ่งพระสัมมาสัมโพธิญาณก็ทรงบำเพ็ญพระบารมี ๓๐ ประการได้บริบูรณ์ตามพระพุทธบัณฑูรซึ่งประทานไว้ เป็นเยี่ยงอย่างทั่วไปแก่พุทธบริษัททั่วเมทนีดล ซึ่งทุกๆคนจะต้องบำรุงตน สร้างตนด้วยการศึกษาและการปฏิบัติให้คุณธรรมอันดีก่อน ต่อนั้น จึงค่อยบำเพ็ญตนให้เป็นอากรแห่งประโยชน์สุขแก่ผู้อื่นสืบไปนี้เป็นวิสัยของบ ัณฑิตย์ ซึ่งสมเด็จพระธรรมสามิศร์บรมศาสดาได้ทรงบำเพ็ญเป็นเยี่ยงอย่างอันดีมาตั้งแต ่ต้นจนอวสาน นับตั้งแต่ทรงกำจัดพญามารและเสนามารให้ปราชัย และทรงบรรลุธรรมมาภิสมัย ได้ตรัสรู้เป็นพระสัมพุทธเจ้า จัดว่าได้ทรงบำเพ็ญ อัตตทัตถจริยา การบำเพ็ญประโยชน์สุขแก่พระองค์เองโดยเฉพาะ ต่อนั้น ก็ทรงพระมหากรุณาเสด็จเทศนาสั่งสอนเวไนยนิกร ตั้งแต่ทรงประทานธรรมจักรอันบวรปฐมเทศนาแก่พระปัญจวัคคีย์ภิกษุทั้ง ๕ ให้พระโกณทัญญะเถระได้บรรลุโสดา อันนี้จัดว่าทรงบำเพ็ญ โลกัตถจริยา ทรงบำเพ็ญประโยชน์สุขแก่โลก คือแก่ประชาชนทั่วไป ไม่จำกัดชาติชั้นวรรณะ สมพระหฤทัยที่ได้ทรงสละราชสมบัติออกทรงผนวชเนาในพนัศพนมไพร เริ่มเสด็จประดิษฐานพระศาสนาไว้ในมคธรัฐ พอสมควรแก่เวลาแล้วก็ปรารภ ญาตัตจริยาปรารถนาจะทรงทำประโยชน์สุขแก่พระประยูรญาติ ด้วยอำนาจพระเมตตาและกตัญญู จึงสมเด็จพระบรมครูก็เสด็จพระพุทธดำเนินจากเบ็ญจคีรีนคร มีพะสงฆ์สาวกบทจรตามพระยุคคลบาท ๕๐๐ องค์ โดยมรรคาป่าระหงพงพนัศแนวไม้ กำหนดทางไว้ ๖๐ โยชน์ ที่ยาตราโดยผาสุกไม่รีบร้อนก็เสด็จถึงกบิลพัสดุ์ นครโดยสวัสดี

ป จฺจุคมนํ กตฺวา ประชาชนชาวบุรีกบิลพัสดุ์ต่างก็มีความโสมนัส ปิติและปราโมทย์ นับแต่พระเจ้าสิริสุทโธทนะ พระพุทธบิดาลงมา พากันปรีดาต้อนรับเป็นการใหญ่ ด้วยศรัทธาเลื่อมใส พากันรมย์รื่นอยู่ในร่มใบบุญ ทั้งตั้งมั่นอยู่ในธรรมคุณของพระบรมศาสดา ที่ทรงพระมหากรุณาประทานให้
พ ระพุทธศาสนาเกิดเป็นธงชัยประจำรัฐแห่งกบิลพัสดุ์มหานครเกียรติคุณได้ฟุ้งขจร ไปทั่วหล้า ว่าพระพุทธศาสนาเป็นฉัตรชัย ให้ความสงบสุขกายใจแก่ประชาชน จึงคนใจบุญทั้งสองพระนคร คือ กรุงเทวทหะและกรุงกบิลพัสดุ์ ตั้งต้นแต่พระมหากษัตริย์ ลงมาถึงชาวบุรี ต่างก็มีความยินดีพรักพร้อมกันพลีทรัพย์ออกบูชาด้วยน้ำใจงาม สร้างวัดนิโครธาราม ซึ่งใหญ่กว้างและงามตระการด้วยรัตนอันวิจิต น้อมถวายพระธรรมสามิศร์ให้เสด็จสถิตย์สำราญพระองค์ พร้อมด้วยพระอริยสงฆ์สาวกบริพารอยู่จำพรรษากาลในวสันตฤดู

ค รั้งนั้น สมเด็จพระบรมครูก็ทรงรับอาราธนา เสด็จอยู่จำพรรษาตามสมควรแก่พระอัธยาศัย วันหนึ่ง เสด็จประทับสำราญพระทัยในป่ามหาวัน ที่อุดมด้วยสันติวิเวก ควรแก่สัลเลขปฏิปทา ของพระอริยสงฆ์ที่ตามเสด็จพระบรมศาสดา ไปยังกุณาละสระโบกขรณีที่รื่นรมย์ ขณะนั้น บรรดามหาพรหมและเทวดาใน ๑๐ โลกธาตุ ก็พากันมาสันนิบาตถวายบังคมพระบรมธรรมสามิศร์ แล้วต่างก็ภาษิตคาถาสรรเสริญ ซึ่งพระพุทธคุณ และสังฆคุณให้เพลิดเพลินแก่สมาคมอันใหญ่ ด้วยมีครั้งเดียวในพระพุทธศาสนา พระพุทธองค์ทรงพระมหากรุณาตรัสประทานอมตบทให้พระสงฆ์และเทพเจ้าเอิบอิ่มในอม ตรส ดำเนินตามสันติวรบทอันเกษมสานต์

ค รั้งนั้น พญามารทราบประพฤติเหตุ ว่าเทวาและเทเวศร์สุดที่จะประมาณ กำลังสดับโลกุตตรธรรมของพระศาสดาจารย์ เพื่อข้ามแก่งแห่งมารวิสัย พญามารก็คุมแค้นในใจเป็นที่สุด จึงสั่งเสนามารให้รีบรุดมาทำลายล้างเทวสมาคม ให้เลิกละมโนรมย์กุศลจิต กลับมาข้องอยู่ในเบญจพิพิธบ่วงมาร ต่างก็สำแดงอาการให้น่าพิลึกสะพึงกลัว ยากที่เทพเจ้าจะประคับประคองจิตของตัวมิให้หวั่นไหว พญามารตบพื้นพสุธาให้ดังสนั่นไกลยิ่งกว่าฟ้าผ่า แสดงอาการดังไฟป่ากำลังลุกลามเข้ามารอบข้างเทวสมาคม ด้วยเดชะมหาสมัยสูตรของพระบรมศาสดา กำบังหูกำบังตามิให้เห็นมิให้ดูมิให้รู้ทุกประการ พญามารและเสนามารก็สำแดงปาฏิหาริย์เหนื่อยเปล่าไม่เป็นผล ต่างก็ล่าทัพกลับเข้าแดนของตนโดยสิ้นฤทธิ์ต่อนั้น สมเด็จพระธรรมสามิศร์ก็ทรงสำแดงปาฏิหาริย์ ให้พระสงฆ์และเทพเจ้าเห็นหมู่เสนามารกำลังปราศนาการหนีไป ด้วยอานุภาพแห่งธรรมมหาสมัยของพระบรมศาสดา ขอมหาสมัยมงคลดังพรรณนามาจงมีแก่มวลพุทธบริษัท ที่มุ่งปฏิบัติตามสมควรแก่วิสัยในกุศล ขอยุติความในมหาสมัยมงคลแต่เพียงนี้
เปลวสีเงิน

หนังสือพิมพ์ “ไทยโพสต์”
ด้วย"เทพหมื่นจักรวาล"อภิบาลท่าน
31 ธันวาคม 2551    กองบรรณาธิการ

วันนี้-พุธ ที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๑ เที่ยงคืน-คืนนี้ ฟ้าจะสันตติกาลสู่ศักราชใหม่ ๑ มกราคม ๒๕๕๒ ผมขอนำ "มหาสมัยสูตร" ซึ่งใช้สวดเฉพาะวาระ "สู่มงคลใหม่" มามอบให้ท่าน

ขอจงอดทน-ตั้งสติสาธยายให้จบด้วยจิตบรรเจิด แล้วชีวิตประเสริฐปานปาฏิหาริย์จะบังเกิดกับท่าน ผมเพียรคัดลอกมาเพื่อท่านอยู่หลายวัน ขออย่าได้ราความตั้งใจ ค่ำนี้-ค่อยๆ สาธยายไปให้จบเถิด
มหาสมัยสูตร

พระสูตรที่เทพในหมื่นจักรวาลชื่นชอบฟังมากที่สุด

๐  เอวัมเม  สุตังฯ  เอกัง  สะมะยัง ภะคะวา สักเกสุ วิหะระติ กะปิละวัตถุสะมิง   มะหาวะเน  มะหะตา  ภิกขุสังเฆนะ สัทธิง ปัญจะมัตเตหิ ภิกขุสะเตหิ สัพเพเหวะ อะระหันเตหิฯ ทะสะหิ จะ โลกะธาตูหิ เทวะตา เยภุยเยนะ สันนิปะติตา โหนติ ภะคะวันตัง ทัสสะนายะ ภิกขุสังฆัญจะฯ อะถะโข จะตุนนัง สุทธาวาสะกายิกานัง เทวานัง  เอตะทะโหสิฯ อะยัง โขภะคะวา  สักเกสุ  วิหะระติ กะปิละวัตถุสะมิง มะหาวะเน มะหะตา ภิกขุสังเฆนะ สัทธิง  ปัญจะมัตเตหิ ภิกขุสะเตหิ  สัพเพเหวะ  อะระหันเตหิ  ทะสะหิ  จะ โลกะธาตูหิ  เทวะตา  เยภุยเยนะ  สันนิปะตะตา โหนติ ภะคะวันตัง  ทัสสะนายะ  ภิกขุสังฆัญจะ  ยันนูนะ  มะยัมปิ  เยนะ ภะคะวา เตนุปะสังกะเมยยามะ อุปสังกะมิตะวา ภะคะวะโต สันติเก ปัจเจกะคาถา ภาเสยยามาติฯ
อะถะโข ตา เทวะตา เสยยะถาปิ นามะ พะละวา ปุริโส สัมมิญชิตัง วา พาหัง ปะสาเรยยะ ปะสาริตัง วา  พาหัง สัมมิญเชยยะ เอวะเมวะ สุทธาวาเสสุ เทเวสุ อันตะราหิตา ภะคะวะโต ปุระโต ปาตุระหังสุฯ อะถะโข ตา เทวะตา ภะคะวันตัง อะภิวาเทตะวา เอกะมันตัง อัฏฐังสุ เอกะมันตัง ฐิตา โข เอกา เทวะตา ภะคะวะโต สันติเก อิมัง คาถัง อะภาสิฯ

มะหาสะมะโย ปะวะนัสะมิง เทวะกายา สะมาคะตา  อาคะตัมหะ อิมัง ธัมมะสะมะยัง ทักขิตาเยวะ อะปะราชิตะสังฆันติฯ อะถะโข อะปะรา เทวะตา ภะคะวันโต  สันติเก  อิมัง  คาถัง  อะภาสิฯ ตัตระ ภิกขะโว สะมาทะหังสุง จิตตัง อัตตะโน  อุชุกะมะกังสุ  สาระถีวะ เนตตานิ คะเหตะวา อินทะริยานิ รักขันติ ปัณฑิตาติฯ  อะถะโข  อะปะรา  เทวะตา ภะคะวะโต สันติเก อิมัง คาถัง อะภาสิฯ เฉตะวา  ขีลัง  เฉตะวา ปะลีฆัง อินทะขีลัง โอหัจจะมะเนชา เต จะรันติ สุทธา วิมะลา  จักขุมะตา สุทันตา สุสู นาคาติฯ อะถะโข อะปะรา เทวะตา ภะคะวันโต สันติเก อิมัง คาถัง อะภาสิ เย เกจิ พุทธัง สะระณัง คะตา เส นะ เต คะมิสสันติ อะปายะภูมิง ปะหายะ มานุสัง เทหัง เทวะกายัง ปะริปูเรสสันตีติฯ

อะถะโข  ภะคะวา  ภิกขู  อามันเตสิ เยภุยเยนะ ภิกขะเว ทะสะสุ โลกะธาตูสุ เทวะตา สันนิปะติตา  โหนติ ตะถาคะตัง ทัสสะนายะ ภิกขุสังฆัญจะ เยปิ เต ภิกขะเว อะเหสุง อะตีตะมัทธานัง อะระหันโต สัมมาสัมพุทธา เตสัมปิ ภะคะวันตานัง  เอตะปะระมาเยวะ   เทวะตา สันนิปะติตา อะเหสุง เสยยะถาปิ มัยหัง เอตะระหิ เยปิ เต ภิกขะเว ภะวิสสันติ อะนาคะตะมัทธานัง อะระหันโต สัมมาสัมพุทธา เตสัมปิ ภะคะวันตานัง เอตะปะระมาเยวะ เทวะตา สันนิปะติตา ภะวิสสันติฯ เสยยะถาปิ  มัยหัง  เอตะระหิ  อาจิกขิสสามิ ภิกขะเว เทวะกายานัง นามานิ กิตตะยิสสามิ ภิกขะเว เทวะกายานัง  นามานิ เทสิสสามิ ภิกขะเว เทวะกายานัง  นามานิตัง สุณาถะ สาธุกัง มะนะสิ กะโรถะฯ ภาสิสสามีติ เอวัมภันเตติ โข เต ภิกขู ภะคะวะโต ปัจจัสโสสุงฯ ภะคะวา เอตะทะโวจะฯ

สิโลกะมะนุกัสสามิ  ยัตถะ  ภุมมา  ตะทัสสิตา เย สิตา คิริคัพภะรัง ปะหิตัตตา  สะมาหิตา ปุถู  สีหาวะ  สัลลีนา โลมะหัง สาภิสัมภุโน โอทาตะมะนะสา สุทธา วิปปะสันนะมะนาวิลา ภิยโย ปัญจะสะเต ญัตะวา วะเน กาปิละวัตถะเว ตะโต  อามันตะยิ  สัตถา  สาวะเก  สาสะเน ระเต เทวะกายา อะภิกกันตา เต วิชานาถะ  ภิกขะโว  เต  จะ อาตัปปะมะกะรุง สุตะวา พุทธัสสะ สาสะนัง เต สัมปาตุระหุ  ญานัง อะมะนุสสานะ ทัสสะนัง อัปเปเก สะตะมัททักขุง สะหัสสัง อะถะ สัตตะริง  สะตัง เอเก สะหัสสานัง อะมะนุสสานะมัททะสุง อัปเปเกนันตะมัททักขุง  ทิสา  สัพพา ผุฎา อะหุง ตัญจะ สัพพัง อะภิญญายะ วะวักขิตวานะ จักขุมา ตะโต  อามันตะยิ  สัตถา  สาวะเก สาสะเน ระเต เทวะกายา อะภิกกันตา เต วิชานาถะ ภิกขะโว เย โวหัง กิตตะยิสสามิ คิราหิ อะนุปุพพะโสฯ

สัตตะสะหัสสาวะ  ยักขา ภุมมา กาปิละวัตถะวา อิทธิมันโต ชุติมันโต วัณณะวันโต ยะสัสสิโน โมทะมานา อะภิกกามุง ภิกขูนัง สะมิติง วะนังฯ

ฉะสะหัสสา เหมะวะตา ยักขา นานัตตะวัณณิโน อิทธิมันโต ชุติมันโต วัณณะวันโต ยะสัสสิโน โมทะมานา อะภิกกามุง ภิกขูนัง สะมิติง วะนังฯ

อิจเจเต  โสฬะสะสะหัสสา  ยักขา  นานัตตะวัณณิโน  อิทธิมันโต ชุติมันโต วัณณะวันโต ยะสัสสิโน โมทะมานา อะภิกกามุง ภิกขูนัง สะมิติง วะนังฯ

เวสสามิตตา  ปัญจะสะตา  ยักขา  นานัตตะวัณณิโน  อิทธิมันโต  ชุติมันโต วัณณะมันโต ยะสัสสิโน โมทะมานา อภิกกามุง ภิกขูนัง สะมิติง วะนังฯ

กุมภิโร ราชะคะหิโก  เวปุลลัสสะ  นิเวสะนัง  ภิยโย นัง สะตะสะหัสสัง ยักขินา ปะยิรุปาสะติ กุมภิโร ราชะคะหิโก โสปาคะ สะมิติง วะนังฯ

ปุริมัญจะ ทิสัง ราชา  ธะตะรัฏโฐ ปะสาสะติ คันธัพพานัง อาธิปะติ มะหาราชา  ยะสัสสิ  โสฯ ปุตตาปิ ตัสสะ พะหะโว อินทะนามา มะหัพพะลา อิทธิมันโต ชุติมันโต วัณณะวันโต ยะสัสสิโน โมทะมานา อะภิกกามุง ภิกขูนัง สะมิติง วะนังฯ

ทักขินัญจะ ทิสัง ราชา วิรุฬโห ตัปปะสาสะติ กุมภัณฑานัง อาธิปะติ มะหาราชา  ยะสัสสิ  โสฯ ปุตตาปิ ตัสสะ พะหะโว อินทะนามา มะหัพพะลา อิทธิมันโต ชุติมันโต วัณณะมันโต ยะสัสสิโน โมทะมานา อะภิกกามุง ภิกขูนัง สะมิติง วะนังฯ

ปัจฉิมัญจะ ทิสัง ราชา วิรูปักโข ปะสาสะติ นาคานัง อาธิปะติ มะหาราชา ยะสัสสิ โส  ปุตตาปิ ตัสสะ พะหะโว อินทะนามา มะหัพพะลา อิทธิมันโต ชุติมันโต วัณณะวันโต ยะสัสสิโน โมทะมานา อะภิกกามุง ภิกขูนัง สะมิติง วะนังฯ

อุตตะรัญจะ  ทิสัง ราชา กุเวโร ตัปปะสาสะติ ยักขานัง อาธิปะติ มะหาราชา ยะสัสสิ  โส ปุตตาปิ ตัสสะ พะหะโว อินทะนามา มะหัพพะลา อิทธิมันโต ชุติมันโต วัณณะวันโต ยะสัสสิโน โมทะมานา อะภิกกามุง ภิกขูนัง สะมิติง วะนังฯ

ปุริมะทิสัง ธะตะรัฎโฐ ทักขิเณนะ วิรุฬหะโก ปัจฉิเมนะ วิรูปักโข กุเวโร อุตตะรัง ทิสังฯ จัตตาโร เต มะหาราชา สะมันตา จะตุโร ทิสา ทัททัลละมานา อัฏฐังสุ  วะเน กาปิละวัตถะเวฯ เตสัง มายาวิโน ทาสา อาคู วัญจะนิกา สะฐา มายา กุเฏณฑุ เวเฏณฑุ วิฏู จะ วิฏุโต สะหะ จันทะโน กามะเสฏโฐ จะ กินนุฆัณฑุ นิฆัณฑุ จะ ปะนาโท โอปะมัญโญ จะ เทวะสูโต จะ มาตะลิ จิตตะเสโน จะ คันธัพโพ  นะโฬราชา  ชะโนสะโภ อาคู ปัญจะสิโข เจวะ ติมพะรู สุริยะวัจฉะสา เอเต จัญเญ จะราชาโน คันธัพพา สะหะ ราชุภิ โมทะมานา อะภิกกามุง ภิกขูนัง สะมิติง วะนังฯ

อะถาคู นาภะสา  นาคา  เวสาลา สะหะตัจฉะกา กัมพะลัสสะตะรา อาคู ปายาคา  สะหะ  ญาติภิ ยามูนา ธะตะรัฏฐา จะ อาคู นาคา ยะสัสสิโน เอราวัณโณ มะหานาโค โสปาคะ สะมิติง วะนังฯ

เย นาคะราเช สะหะสา หะรันติ ทิพพา ทิชาปักขิ วิสุทธะจักขู เวหาสะยา เต วะนะมัชฌะปัตตา จิตรา สุปัณณา อิติ เตสะนามัง อะภะยันตะทา นาคะราชานะมาสิ  สุปัณณะโต  เขมะมะกาสิ พุทโธ สัณหาหิ วาจาหิ อุปวะหะยันตา (ให้อ่านออกเสียงว่า อุเปา-หะ-ยัน-ตา) นาคา สุปัณณา สะระณะมะกังสุ พุทธังฯ
ชิตา วะชิระหัตเถนะ  สะมุททัง อะสุรา สิตา ภาตะโร วาสะวัสเสเต อิทธิมันโต  ยะสัสสิโน กาละกัญชา มะหาภิสมา อะสุรา ทานะเวฆะสา เวปะจิตติ สุจิตติ  จะ ปะหาราโท นะมุจี สะหะ สะตัญจะ พะลิปุตตานัง สัพเพ เวโรจะนามะกา สันนัยหิตะวา พะลิง เสนัง ราหุภัททะมุปาคะมุง สะมะโยทานิ ภัททันเต ภิกขูนัง สะมิติง วะนังฯ

อาโป  จะ  เทวา  ปะฐะวี จะ เตโช วาโย ตะทาคะมุง วะรุณา วารุณา เทวา โสโม จะ ยะสะสา สะหะ เมตตากะรุณากายิกา อาคู เทวา ยะสัสสิโน ทะเสเต ทะสะธา กายา สัพเพ นานัตตะวัณณิโน อิทธิมันโต ชุติมันโต วัณณะวันโต ยะสัสสิโน โมทะมานา อะภิกกามุง ภิกขูนัง สะมิติง วะนังฯ

เวณฑู  จะ  เทวา  สะหะลี จะ อะสะมา จะ ทุเว ยะมา จันทัสสู ปะนิสา เทวา  จันทะมาคู  ปุรักขิตา สุริยัสสูปะนิสา เทวา สุริยะมาคู ปุรักขิตา นักขัตตานิ ปุรักขิตะวา อาคู มันทะพะลาหะกา วะสูนัง วาสะโว เสฏโฐ สักโก ปาคะ ปุรินทะโท ทะเสเต ทะสะธา กายา สัพเพ นานัตตะวัณณิโน อิทธิมันโต ชุติมันโต วัณณะวันโต ยะสัสสิโน โมทะมานา อะภิกกามุง ภิกขูนัง สะมิติง วะนังฯ

อะถาคู  สะหะภู  เทวา ชะละมัคคิสิขาริวะ อะริฏฐะกา จะ โรชา จะ อุมมา  ปุปผะนิภาสิโน วะรุณา  สะหะธัมมา  จะ อัตจุตา จะ อะเนชะกา สุเลยยะรุจิรา  อาคู  อาคู วาสะวะเนสิโน ทะเสเต ทะสะธา กายา สัพเพ นานัตตะวัณณิโน  อิทธิมันโต  ชุติมันโต วัณณะวันโต ยะสัสสิโน โมทะมานา อะภิกกามุง ภิกขูนัง สะมิติง วะนังฯ

สะมานา มะหาสะมานา มานุสา มานุสุตตะมา ขิฑฑาปะทูสิกา อาคู อาคู มะโนปะทูสิกา  อะถาคู หะระโย เทวา เย จะ โลหิตะวาสิโน ปาระคา มะหาปาระคา  อาคู  เทวา ยะสัสสิโน ทะเสเต ทะสะธา กายา สัพเพ มานัตตะวัณณิโน อิทธิมันโต  ชุติมันโต วัณณะวันโต ยะสัสสิโน โมทะมานา อะภิกกามุง ภิกขูนัง สะมิติง วะนังฯ
สุกกา  กะรุมหา อะรุณา อาคู เวฆะนะสา สะหะ โอทาตะคัยหา ปาโมกขา อาคู  เทวา วิจักขะณา สะทามัตตา หาระคะชา มิสสะกา จะ ยะสัสสิโน ถะนะยัง อาคู  ปะชุนโน  โย  ทิสา อะภิวัสสะติ ทะเสเต ทะสะธา กายา สัพเพ นานัตตะวัณณิโน  อิทธิมันโต  ชุติมันโต วัณณธวันโต ยะสัสสิโน โมทะมานา อะภิกกามุง ภิกขูนัง สะมิติง วะนังฯ

เขมิยา  ตุสิตา  ยามา กัฏฐะกา จะ ยัสสิโน ลัมพิกะตา ลามะเสฏฐา โชตินามา จะ  อาสะวา นิมมานะระติโน อาคู อะถาคู ปะระนิมมิตา ทะเสเต ทะสะธา  กายา  สัพเพ  นานัตตะวัณณิโน  อิทธิมันโต ชุติมันโต วัณณะวันโต ยะสัสสิโน โมทะมานา อะภิกกามุง ภิกขูนัง สะมิติง วะนังฯ

สัฏเฐเต  เทวะนิกายา สัพเพ นานัตตะวัณณิโน นามันวะเยนะ อาคัญฉุง เยจัญเญ สะทิสา สะหะ ปะวุตถะชาติมักขีลัง โอฆะติณณะมะนาสะวัง ทักเขโมฆะตะรัง นาคัง จันทังวะ อะสิตาติตัง สุพรัหมา ปะระมัตโต จะ ปุตตา อิทธิมะโต สะหะ สันนังกุมาโร ติสโส ตะ โสปาคะ สะมิติง วะนังฯ

สะหัสสะพรัหมะโลกานัง  มะหาพรัหมาภิติฏฐะติ  อุปะปันโน ชุติมันโต ภิสะมากาโย  ยะสัสสิโน ทะเสตถะ อิสสะรา อาคู ปัจเจกะวะสะวัตติโน เตสัญจะ มัชฌะโต อาคา หาริโต ปะริวาริโต เต จะ สัพเพ อะภิกกันเต สินเท เทเว สะพรัหมะเก มาระเสนา อะภิกกามิ ปัสสะ กัณหัสสะ มันทิยัง เอถะ คัณหะถะ ราเคนะ พันธะมัตถุ  โว  สะมันตา ปะริวาเรถะ มา โว มุญจิตถะ โกจิ นัง อิติ ตัตถะ มะหาเสโน กัณหะเสนัง อะเปสะยิ ปาณินา ตะละมาหัจจะ สะรัง กัตะวานะ เภระวัง ยะถา ปาวุสสะโก เมโฆ ถะนะยันโต สะวิชชุโก ตะทา โส ปัจจุทาวัตติ สังกุทโธ อะสะยังวะเส  ตัญจะ สัพพัง อะภิญญายะ วะวักขิตวานะ จักขุมา ตะโต อามันตะยิ สัตถา  สาวะเก สาสะเน ระเต มาระเสนา อะภิกกันตา เต วิชานาถะ ภิกขะโว เต  จะ อาตัปปะมะกะรุง  สุตะวา พุทธัสสะ สาสะนัง วีตะราเคหิ ปักกามุง เนสัง โลมัมปิ  อิญชะยุง สัพเพ วิชิตะสังคามา ภะยาตีตา ยะสัสสิโน โมทันติ สะหะ ภูเตหิ สาวะกา เต ชะเนสุตาติฯ


นี้คือพระสูตรที่ "พระพุทธองค์" ทรงแสดงแล้วเหล่าเทพจะมาประชุมฟังกันมากที่สุด ชื่นชอบมากที่สุด และเมื่อมีการสวดมหาสมัยสูตรที่ไหน เทพเทวาในหมื่นจักรวาลจะมาชุมนุมกันฟังด้วยความชื่นชอบที่นั่น พร้อมอภิบาลรักษาผู้พร่ำมนต์ภาวนาให้สุข-ศานติตลอดไป.


10 ม.ค. 2551
เปลว สีเงิน
หนังสือพิมพ์ “ไทยโพสต์”
เรื่อง สุดท้าย มีบางท่านโทร.มาถามว่า บทสวดมนต์ "มหาสมัยสูตร" ที่ผมคัดลอกให้ไปสวดกันตอนปีใหม่นั้น    จะสวดเฉพาะบทแปลภาษาไทยได้ไหม   ขอตอบว่า  "ได้เลย" ไม่มีปัญหาใดๆ ทั้งสิ้น
จะสวดบทภาษาบาลี  หรือบทภาษาไทย สรรพคุณเหมือนกัน ๑๐๐% ทุกประการ โดยมีเงื่อนไขอยู่อย่างเดียว  คือ ใจต้องมีสมาธิ ปีติ ศรัทธา ต่อการสวดนั้น คำว่าศรัทธาหมายความว่า

ต้องไม่มีความสงสัย   ข้องใจใดๆ ในพระพุทธคุณ   พระธรรมคุณ  พระสังฆคุณ และในสวรรค์-นรกว่ามีจริง หรือไม่มีจริง เป็นต้น

และถ้าจิตถึงสมาธิในฐานศรัทธานั้นแล้ว บทสวดก็ไม่จำเป็นด้วยซ้ำ!
แต่เอาหละ เราๆ ท่านๆ รวมทั้งผม ยังอยู่ในภาวะ "ผู้ต่ำต้อยในพุทธภูมิ" เหมือนลอยคอในทะเล  ถึงว่ายเป็น  แต่เอาพวงชูชีพใส่เอวไว้ด้วยก็ไม่เสียหายอะไร เรื่องสวดมนต์ก็เหมือนกัน หมั่นสวดไว้เถอะครับ เพราะบทสวดนั้นจะเป็นหลักให้ "ใจ" เราเกาะ

บางท่านอาจสงสัย การสวดมนต์นั้น สวดในใจกับสวดเปล่งเสียง เหมือนหรือไม่เหมือนกัน "พระชุมพล   พลปัญโญ" ท่านรวบรวมประเด็นนี้ไว้ในหนังสือ "พุทธมงคลอานิสงส์" อย่างนี้ครับ
หลวงปู่มั่น  ภูริทัตโต  ปรมาจารย์แห่งพระกรรมฐานทางภาคอีสานใต้ กล่าวแสดงอานิสงส์แห่งการสวดสาธยายพระพุทธมนต์ไว้ ดังนี้

การสาธยายมนต์  หรือพุทธมนต์  จะเป็นผู้ใดสวดก็ตาม  คือจะเป็นพระสงฆ์สวดตามกิจวัตรของพระสงฆ์เช้า-เย็น   หรือชาวพุทธสวดเพื่อระลึกถึงพุทธคุณ ย่อมจะมีอานิสงส์แตกต่างกันดังต่อไปนี้
-ระลึกในใจ มีอานุภาพแผ่ไปได้หมื่นจักรวาล

-สวดออกเสียงพอตัวเองได้ยิน มีอานุภาพแผ่ไปได้แสนจักรวาล
-สวดออกเสียงธรรมดา มีอานุภาพแผ่ไปได้แสนโกฏิจักรวาล
-สวดออกเสียงเต็มที่ มีอานุภาพแผ่ไปได้อนันตจักรวาล
แม้แต่สัตว์ที่เสวยกรรมอยู่ในภพที่สุดแห่งอเวจีมหานรก  ก็ยังได้รับความสุข  เมื่อแว่วเสียงแห่งพระพุทธมนต์  ผ่านเข้าถึงชั่วขณะหนึ่ง-ครู่หนึ่ง  ยังดีกว่าหาความสุขไม่ได้ตลอดกาลเป็นนิตย์
ที่ผมคะยั้นคะยอให้ท่านสวดมนต์-สวดพรกันนั้น  ก็ไม่ใช่อะไรหรอกครับ คือตั้งแต่ปีใหม่เป็นต้นไปนี้  และอีกหลายเดือน  เทพเทวดา ผู้หลักผู้ใหญ่ที่รักษาบ้านรักษาเมืองท่านคล้ายอ่อนเปลี้ยเพลียแรง
พูดง่ายๆ ก็คือ เทพผู้คุ้มครองบ้านเมืองทั้งหลาย ท่าน "ขาดกำลังใจ" น่ะครับ!
เราก็ต้องให้กำลังท่าน  ให้ด้วยการสวดมนต์ภาวนา  โดยเฉพาะ "มหาสมัยสูตร" ซึ่งเป็นบทสวดที่เทพเทวาในหมื่นจักรวาลนิยมชมชอบเพื่อสดับตรับฟังมากที่สุด

เมื่อครั้งที่พระพุทธองค์แสดงมหาสมัยสูตรนี้   ปรากฏว่า  เฉพาะเทวดาที่ฟังแล้วบรรลุพระอรหัตผลตั้งแสนโกฏิ  และที่บรรลุในชั้นธรรมลดหลั่นลงมาอีกสุดจะประมาณได้
ฉะนั้น ถ้าเราช่วยกันสวดมหาสมัยสูตรมากๆ ก็เหมือนการชาร์ตแบต เป็นการให้กำลังเทพเทวดาที่รักษาบ้านรักษาเมืองอยู่ให้มีจิตใจพลิกฟื้น กระปรี้กระเปร่าด้วยโอสถพระพุทธมนต์
และใครสวดมหาสมัยสูตรที่ไหน   เทพเทวดาก็จะไปห้อมล้อมอยู่ที่นั่น   ฉะนั้น ก่อนหลับ  ก่อนนอน  ท่านนั่งสวดมนต์อยู่ที่บ้าน ทั้งเทวดารักษาเมือง รักษาบ้านท่าน และเทวดาประจำตัวท่าน ก็จะมาห้อมล้อม แซ่ซ้องสาธุการอำนวยพรให้กับท่าน

เทวดารักษาเรา  เราก็ต้องรักษาเทวดา  เข้าทำนอง "ถ้าเรารักษาความดี ความดีนั้นก็ย่อมรักษาเรา"!
เอาหละ..เราเคยคุยกันถึงเรื่อง "เศรษฐกิจพอเพียง" ไปแล้ว  โดยผมได้อัญเชิญ "พระบรมราโชวาท" ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว   มาให้ได้ทราบถึงแนวทางดำเนินตามแนวเศรษฐกิจพอเพียงไปแล้ว ๒-๓ ตอน
ทีนี้มาศึกษาตัวอย่างจากปฏิบัติการที่ปรากฏผลสำเร็จเป็นรูปธรรมให้จับ ต้องได้กันบ้างดีไหม เผื่อพี่น้องร่วมชาติของเราที่พบปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจโลกขณะนี้จะได้กระจ่าง ในแนวทาง และจะได้มีกำลังใจพลิกฟื้นคืนสังคมชาติ

"พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว" ทรงสอน  และทรงทำให้เห็นเป็นตัวอย่างไว้แล้วเมื่อ  ๓๐-๔๐  ปีโน่นด้วยซ้ำ  แต่พวกเราไม่สนใจกันเอง ผมจะอัญเชิญคำสอนจากพระโอษฐ์ของพระองค์ท่านมาให้ได้อ่านกันอีกครั้ง

ยาว-ด้วยความละเอียดในเนื้อหาสุดจะประมาณค่าได้ ลงติดต่อกัน ๓ วันก็ไม่แน่ว่าจะจบ แต่ถ้าท่านได้อ่านจะต้องอุทานว่า "จบแล้วหรือ?" เพราะกำลังเพลิดเพลิน ดื่มด่ำฉ่ำชื่นใจ  ได้ทั้งความรู้  และทั้งตื้นตันในน้ำพระทัยรัก  โอบเอื้อต่อพสกนิกรของพระองค์ท่าน
เริ่มตั้งแต่ฉบับวันจันทร์ที่  ๑๒ มกราคมไปเลยนะครับ อาจติดต่อกันทุกวันบ้าง อาจมีข่าวสารอื่นแทรกเป็นบางวันบ้าง ท่านที่ตั้งใจจะ "สู่ชีวิตใหม่" ตามทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียง   เตรียมต้นทุน   ๓   อย่างพอ   คือ   ๑.พอใจ-ใฝ่เพียร-เวียนดู-เป็นครูตัวเอง ๒.มีที่ดินทำกิน และ ๓.มีลมหายใจ ส่วนนอกนั้น "มีพร้อม" สำหรับคนที่พร้อม..เพื่อ

เศรษฐกิจพอเพียง.

เนื้อหาโดยย่อ ตำนานมหาสมัยสูตร
รวบรวมโดย พระมหาเหลา ประชาษฎร์
มหาสมัยสูตรปรากฎความในพระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกามหาวรรค ภายหลังการบรรลุอนุตราสัมมาสัมโพธิญาณของพระบรมศาสดา พระองค์ได้เสด็จจาริกไปในสถานที่ต่าง ๆ เพื่ออนุเคราะห์ชาวโลก และเมื่อทราบทราบว่าพระเจ้าสุทโธทนะพระพุทธบิดาประชวรหนัก จึงเสด็จกลับสู่กรุงกบิลพัสดุ์อีกครั้งเพื่อเยี่ยมอา การพระพุทธบิดา พร้อมด้วยพระสงฆ์สาวกเป็นจำนวนมาก ทรงถวายพยาบาลพระพุทธบิดาตามพุทธวิสัย และโปรดให้พระพุทธบิดาได้บรรลุพระอรหันต์พร้อมปฏิสัม ภิทาทั้งหลาย ในกาลต่อมาพระพุทธบิดาก็ปรินิพพานบนพระแท่นบรรทมภายใ ต้เศวตฉัตรนั้งเอง ภายหลังถวายพระเพลิงพระศพพระพุทธบิดา พระพุทธองค์ตรัสว่า "บุคคลใดมีจิตปรารถนาพระโพธิญาณ จงอุตสาหะภิบาลบำรุงบิดามารดา ประพฤติกุศลสุจริตธรรม จักสมปรารถนาทุกประการ"

รุ่งขึ้นอีกวัน ขณะทีพระองค์ประทับอยู่ที่นิโครธาราม กรุงกบิลพันดุ์ เหล่าพระญาติข้างฝ่ายศากยะ และ โกลิยะที่ตั้งหลักแหล่งอยู่สองฝั่งแม่น้ำโรหิณีได้วิ วาทกันเรื่องแย้งน้ำทำนา กษัตริย์ทั้งสองจึงยกกองทัพออกไปจะทำสงครามกัน เพราะไม่สามารถตกลงกันได้ พระพุทธองค์ทรงทราบเหตุการณ์นั้นด้วยพระญาณ ทรงถือบาตรและจีวรด้วยพระองค์เอง ไม่ทรงแจ้งให้ใคร ๆ ทราบ เสด็จพุทธดำเนินแต่เพียงพระองค์เดียว ไปประทับนั่งขัดบัลลังก์ระหว่างกองทัพกษัตริย์ทั้งสองนคร

ครั้นกองทัพชาวเมืองกบิลพัสดุ์และชาวเมืองโกลิยะเห็น พระองค์นั้น ต่างก็คิดว่าพระศาสดาผู้เป็นพระญาติ ผู้ประเสริฐของพวกเราเสด็จมา จึงทิ้งอาวุธเขาไปเฝ้าพระพุทธองค์ทั้งที่พระองค์ทรงท ราบสถานการณ์ขณะนั้นดีแต่ก็ตรัสถามเรื่องราวที่เกิดข ึ้น แล้วตรัสสอนว่า มหาบพิตร พวกพระองค์อาศัยน้ำที่มีค่าน้อยแล้วทำให้กษัตริย์ซึ่ งหาค่ามิได้ให้ฉิบหายทำไมกัน

ครั้นแล้ว พระพุทธองค์ได้ตรัส ผันทนชาดก ทุททุภายชาดก และลฏุกิกชาดก เพื่อระงับการวิวาทของพระญาติทั้งสองฝ่าย และตรัสรุกขธรรมชาดก และวัฏฏชาดก เพื่อให้เกิดความสามัคคีพร้อมเพรียงกันว่า "หมู่ญาติยิ่งมากยิ่งดี ต้นไม้ที่เกิดในป่าแม้จะโตเป็นเจ้าป่า ถ้าตั้งอยู่โดดเดี่ยวย่อมถูกแรงลมพัดโค่นลงได้ และว่านกทั้งหลายมีความสามัคคีพร้อมเพรียงกัน ย่อมพาตาข่ายไปได"้ และในที่สุดก็ตรัส อัตตทัณฑสูตร
กษัตริย์เหล่านั้นได้สดับพระธรรมเทศนาแล้ว เกิดความสังเวชพากันทิ้งอาวุธกล่าวว่า หากพระบรมศาสดา ไม่เสด็จมา พวกเราก็จะฆ่าฟันซึ่งกันและกันเลือดไหลนองเป็นสายน้ำ ไม่มีโอกาสได้กลับบ้านเห็นหน้าลูกเมียญาติพี่น้อง กษัตริย์ทั้งสองพระนครจึงถวายพระราชกุมาร 500 องค์ คือ ฝ่ายละ 250 องค์ ให้บรรพชา อุปสมบทกับพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยเอหิภิกขุอุปสัมปทา

อรรถกถามหาสมัยสูตร เล่าถึงเหตุการณ์ที่ภิกษุราชกุมารเหล่านั้นบรรลุธรรม ไว้ว่า เมื่อพระพุทธองค์นำภิกษุราชกุมารเหล่านั้นมาสู่ป่ามห าวัน ประทับนั่งบนพุทธอาสน์ที่ภิกษูปูถวาย ในโอกาสทีสงัด ตรัสบอก กัมมัฏฐานแก่ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นรับกัมมัฏฐานแล้ว ต่างแยกย้ายกันไปเจริญวิปัสสนาตามเงื้อมผา และโคนไม้ในโอกาสที่เงียบสงัด และก็ทยอยบรรลุพระอรหัตแล้ว ก็ลุกขึ้นจากที่นั่งเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้า จนครบทั้ง 500 รูป

อรรถถาได้อธิบายความคิดของพระที่ได้บรรลุพระอรหันต์ไ ว้ว่า พระผู้บรรลุพระอรหัตสิ้นกิเลสอาสวะทั้งหลายแล้ว ย่อมมีความคิดอยู่ 2 อย่างคือ

1. มีความคิดว่า คนทุกคนตลอดจนเทวดาทั้งหลาย ก็สามารถที่จะบรรลุธรรมตามที่เราบรรลุได้เช่นเดียวกั น
2. พระที่บรรลุธรรมไม่ประสงค์จะบอกคุณธรรมที่ตนได้บรรลุ แก่ผู้อื่น เหมือนคนที่ฝังขุมทรัพย์ไว้ไม่ต้องการให้ใครรู้ที่ฝั งขุมทรัพย์ของตน

เมื่อเทวดาทั้งหลายทราบว่า พระบรมศาสดาประทับอยู่ที่ป่ามหาวันใกล้กรุงกบิลพัสดุ ์ พร้อมด้วยภิกษุ 500 รูป ล้วนเป็นพระอรหัตบวชจากราชตระกูล ต่างก็กล่าวว่า นี้เป็นสมัยแห่งการประชุมใหญ่ในป่ามหาวัน พวกเราจักไปชมความงดงามของพระพุทธเจ้าและพระสงฆ์สาวก ผู้หมดจด ต่างก็แต่งคาถากล่าวสรรเสริญ พระพุทธเจ้าและเหล่าสาวก เทวดาที่มาประชุมกันในวันนั้นมีจำนวนมากมาย ภิกษุบางรูปก็เห็นเทวดาร้อยหนึ่ง บางรูปก็เห็นพันหนึ่ง บางรูปก็เห็นหมื่นหนึ่ง บางรูปก็เห็นแสนหนึ่ง บางรูปก็เห็นไม่มีที่สิ้นสุด แตกต่างกันไปตามกำลังญาณของแต่ละองค์

ในยุคของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์จะมีการประชุมเทวดาจ ำนวนมากเช่นนี้ก็เพียงครั้งเดียว พระพุทธองค์ ได้ตรัสกับภิกษุทั้งหลายว่า เทวดาในแสนจักรวาลมาประชุมกันเพื่อชมตถาคตและหมู่ภิก ษุสงฆ์ เทวดาประมาณเท่านี้แหละได้เคยประชุมกันเพื่อชมพระผู้ มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าในอดีตกาลแล้ว และพวกเทวดาประมาณเท่านั้นแหละจักประชุมกันเพื่อชมพร ะอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคตกาล แล้วพระองค์ก็ทรงแนะนำเทวดาแต่ละจำพวกให้ภิกษุทั้งหล ายฟังตามลำดับ ตั้งแต่กุมมเทวดาไปจนถึงพรหมโลก

ขณะที่เทวดาจากหมื่นจักรวาลมาประชุมกันจนครบนั้น ท้องฟ้าโปร่งใส่ไม่มีเมฆหมอก ก็กลับเกิดเมฆฝนคำรณคำรามกึกก้องฟ้าแลบแปล๊บพราย พระพุทธองค์ทรงพิจารณาทราบว่า หมู่มารก็ได้มาด้วย จึงทรงแนะนำให้ภิกษุรู้จักพญามารเอาไว้

พญามารกำลังสั่งบังคับเสนามารให้ผูกเหล่าเทวดาไว้ในอ ำนาจแห่งกามราคะ แต่พระพุทธองค์ทรงอธิษฐานไม่ให้เหล่าเทวดาเห็น พญามารไม่ได้ดั่งใจจึงทำให้เกิดฟ้าร้องกึกก้องกัมปนา ทไปทั่ว
โดยปกติในที่จะไม่มีการบรรลุมรรคผล พระพุทธองค์จะไม่ทรงห้ามมารแสดงสิ่งอันน่ากลัวของมาร แต่ในที่จะมีการบรรลุมรรคผล พระองค์จะทรงอธิษฐานไม่ให้ใครรู้เห็นสิ่งที่พญามารกำ ลังทำ เนื่องจากการประชุม ใหญ่ของเทวดาครั้งนั้น จะมีเทพบรรลุมรรคผลเป็นจำนวนมาก พระพุทธองค์จึงทรงอธิษฐานไม่ให้พวกเทวดา รับรู้สิ่งอันน่ากลัวของหมู่มารนั้น พญามารนั้นจึงกลับไปด้วยความเดือดดาลฯ

สวดเมื่อไร ? สวดแล้วได้อะไร ?
มหาสมัยสูตร เป็นสูตรว่าด้วยสมัยเป้นที่ประชุมใหญ่ของเหล่าเทพ ในยุคของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์จะมีการประชุมใหญ่ขอ งเหล่าเทวดาทั้งหลายเช่นนี้เพียงครั้งเดียว เทวดาทั้งหลายจึงพากันคิดว่าพวกเราจะฟังพระสูตรนี้ เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าแสดงมหาสมัยสูตรจบ เทวดาจำนวนหนึ่งแสนโกฎิได้บรรลุพระอรหันตฺ

พระสูตรนี้จึงเป็นที่รักที่ ชอบใจของพวกเทวดา เทวดาทั้งหลายต่างก็คิดว่าพระสูตรของตน เมื่อสวดพระสูตรนี้จะทำให้เหล่เทวดาทั้งหลายประชุมกั น เมื่อเทวดาประชุมกันก็จะทำให้สิ่งที่ไม่ดีทั้งหลายถอ ยห่างออกไป เป็นการป้องกันสิ่งที่ไม่ดีไม่ให้เข้ามาใกล้ตัวเรานั ้นเอง

พระอรรถกถาจารย์จึงแนะนำว่า "มหาสมัยสูตรนี้ เป็นที่รักที่ชอบใจของเทวดา ในสถานที่ใหม่เอี่ยม เมื่อจะกล่าวมงคลกถา ควรสวดพระสูตรนี้" หมายความว่าในสถานที่สำคัญที่จะประกอบกิจใหม่ หรือในสถานใดที่ต้องการให้มีการเปลี่ยนแปลงสิ่งใหม่ๆ เมื่อจะสวดมงคลกถาในสถานที่เช่นนี้ควรสวดมหาสมัยสูตร นี้
เนื่องจากมหาสมัยสูตรเป็นสูตรใหญ่ จึงไม่นิยมใช้สวดในงานทำบุญทั่ว ๆ ไป แต่จะนิยมนำไปสวดเฉพาะในพิธีที่เกี่ยวข้องกับความอยู ่เย็นเป็นสุขของทางบ้านเมืองเป็นหลัก นอกนั้นแล้ว การเจริญพระพุทธมนต์ยังเป็นรูปแบบของการเจริญสมาธิภา วนาอย่างหนึ่ง แต่แทนที่จะใช้วิธีนั่งบริกรรมให้จิตเกาะเกี่ยวอยู่ก ับคำใดคำหนึ่งหรือสิ่งใดสิ่งหนึ่งเพียงอย่างเดียว เพื่อเป็นสื่อให้เข้าถึงความสงบ ก็ใช้วิธีจิตเกาะเกี่ยวไปกับอักขระเป็นเกาะแสเช่นนี้ ไม่ปล่อยให้ความรัก โลภ โกรธ หลง กามราคะ อาฆาตพยาบาท ได้โอกาสแทรกเข้ามาครอบงำจิต ทำให้จิตมีความผ่องใส เป็นจิตมีพลังในการต้านทานกิเลสที่จะเข้ามามีอำนาจเห นือสติปัญญา จิตเช่นนี้เป็นจิตสงบ คือสงบจากกามราคะ อาฆาตพยาบาท หงุดหงิด ฟุ้งซ่าน รำคาญ เบื่อหน่าย จึงชื่อว่า "จิตเป็นสมาธิ"



จากหนังสือ "มหาสมัยสูตร" บทสวดมนต์เพื่อความร่มเย็นแห่งแผ่นดิน และเพื่อสันติภาพโลก
รวบรวมโดย พระมหาเหลา ประชาษฎร์
ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลที่มาhttp://www.dhammathai.org/indexthai.php

พระสูตรที่เป็นธัมมาภิสมัย - พระสูตรเมื่อแสดงออกมาแล้ว มีเทวดาบรรลุมรรคผลกันมาก อย่างน้อยๆ ก็ประมาณ ๑๘ โกฏิ อย่างมากก็คือไม่สามารถจะนับจำนวนได้ มีอยู่ ๖ สูตร

พระสูตรที่เป็นธัมมาภิสมัย
พระสูตรที่เป็นธัมมาภิสมัย หมายถึงพระสูตรเมื่อแสดงออกมาแล้ว มีเทวดาบรรลุมรรคผลกันมาก อย่างน้อยๆ ก็ประมาณ ๑๘ โกฏิ อย่างมากก็คือไม่สามารถจะนับจำนวนได้ มีอยู่ ๖ สูตร คือ

๑. ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร
๒. มงคลสูตร
๓. มหาสมัยสูตร
๔. ราหุโลวาทสูตร
๕. ปราภวสูตร
๖. สมจิตตสูตร

ห้าสูตรแรกนั้น พระพุทธเจ้าเป็นผู้ทรงแสดงเอง แต่สูตรสุดท้าย คือสมจิตตสูตรนั้น พระสารีบุตรผู้เป็นพระอัครสาวกเบื้องขวาซึ่งเลิศด้วยปัญญาเป็นผู้แสดง

ความสำคัญของพระสูตรที่เป็นธัมมาภิสมัย ก็คือมีเทวดาบรรลุมรรคผลจากพระสูตรเหล่านี้เป็นจำนวนมาก และก็เป็นธรรมดาที่ว่า ผู้ใดบรรลุมรรคผลเพราะพระสูตรใด ก็จะมีความชอบในพระสูตรนั้นเป็นพิเศษ แสดงว่าเทวดาที่ชอบพระสูตรที่เป็นธัมมาภิสมัยนั้น จะมีมากกว่าพระสูตรทั่วๆ ไป ฉะนั้นท่านโบราณจารย์ท่านจึงแนะนำให้พุทธศาสนิกชน นำพระสูตรที่เป็นธัมมาภิสมัยมาสวดกันบ่อยๆ เพราะว่าผู้สวดจะเป็นที่รักที่ชอบใจของเทวดาจำนวนมาก เทวดาทั้งหลายก็จะคุ้มครองรักษาให้อยู่เย็นเป็นสุข จะประกอบกิจการอันใด ก็จะสำเร็จลุล่วงไปด้วยดีด้วยเทวานุภาพ และเมื่อนำไปสวดในสถานที่ใด จะทำให้บังเกิดเป็นมงคลสถานเจริญรุ่งเรือง สถานที่นั้นและบุคคลในสถานที่นั้น จะได้รับการคุ้มครองรักษาจากเทวดาทั้งหลาย

พระสูตรที่เป็นธัมมาภิสมัยที่นิยมนำมาสวดกัน คือ ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร มงคลสูตร และมหาสมัยสูตร สำหรับธัมมจักกัปปวัตนตสูตรและมงคลสูตรนั้น มีพิมพ์เผยแพร่แพร่หลายตามหนังสือสวดมนต์ทั่วไป อย่างเช่นในหนังสือมนต์พิธี สามารถหาดูได้ง่าย แต่สำหรับมหาสมัยสูตรนั้น จะมีครบถ้วนเต็มสูตรอยู่ในหนังสือสวดมนต์ ๑๒ ตำนานและหนังสือสวดมนต์ฉบับหลวง ในหนังสือมนต์พิธีนั้นไม่มีมหาสมัยสูตรครบเต็มสูตรมีแต่ท่อนท้าย จะปรากฏอยู่ในหนังสือมนต์พิธีว่า ท้ายมหาสมัยสูตร

ในหนังสือเล่มนี้ ได้นำธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ตอนท้ายของมหาสมัยสูตร และเต็มสูตรของมงคลสูตรมาพิมพ์เอาไว้ พร้อมทั้งจะอธิบายมงคลทั้ง ๓๘ ประการ เพื่อประโยชน์แก่ท่านพุทธบริษัทจะนำไปประพฤติปฏิบัติด้วย และท่านสาธุชนท่านใดจะนำมงคลสูตรไปสวดทุกวันก็ขออนุโมทนา จะบังเกิดเป็นมงคลชีวิตแก่ท่านเป็นอย่างยิ่ง วิธีการสวดมงคลสูตร จะเริ่มสวดแต่เริ่มต้นตรง เอวัมเม สุตัง ก็ได้ หรือจะลัดมาเริ่มต้นสวดตรง อะเสวะนา จะ พาลานัง ก็ได้เช่นเดียวกัน

บัดนี้จะได้ชักนิทานมาแสดงแก่ท่านสาธุชน ให้เห็นถึงความที่มหาสมัยสูตรนั้นเป็นที่รักที่ชอบใจแก่เทวดาทั้งหลาย เพื่อจะได้พอกพูนศรัทธาปสาทะแก่ท่านสาธุชน นิทานเรื่องนี้มาในคัมภีร์สุมังคลวิลาสินี อรรถกถาทีฆนิกาย มหาวรรค ตอนมหาสมัยสูตร ท่านกล่าวว่า มหาสมัยสูตรนี้เป็นที่รักที่ชอบใจของพวกเทวดา ฉะนั้นในสถานที่ใหม่เอี่ยม (เช่นวัดเริ่มสร้าง บ้านสร้างใหม่) เมื่อจะกล่าวมงคล ก็พึงกล่าวแต่พระสูตรนี้นั่นเทียว

ได้ยินว่า ในช่วงเวลาที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้ากำลังแสดงมหาสมัยสูตรอยู่นั้น พวกเทวดาพากันคิดว่า พวกเราจะฟังพระสูตรนี้ แล้วก็เงี่ยโสตลงฟัง ก็แลเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงจบ เทวดาจำนวนหนึ่งแสนโกฏิได้บรรลุพระอรหัตผลแล้ว ส่วนมรรคผลเบื้องต่ำทั้ง ๓ คือ อนาคามี สกิทาคามี โสดาบันนั้น จำนวนเทวดาที่บรรลุไม่สามารถที่จะนับได้ ฉะนั้นเพราะเหตุนี้มหาสมัยสูตรจึงเป็นสูตรหนึ่งที่เป็นที่รักที่ชอบใจของเทวดาทั้งหลายเป็นอันมาก

มีเรื่องเล่าว่า ที่วัดโกฏิบรรพต มีเทพธิดาองค์หนึ่งอยู่ที่ต้นกากะทิง ใกล้ประตูถ้ำกากะทิง ภิกษุหนุ่มรูปหนึ่งท่องมหาสมัยสูตรภายในถ้ำ เทพธิดาองค์นั้นได้ฟังแล้ว ในเวลาจบพระสูตรเทพธิดาก็ได้ให้สาธุการด้วยเสียงอันดัง

ภิกษุหนุ่มจึงถามว่า "นั่นใคร"
เทพธิดาตอบว่า "ดิฉันเป็นเทพธิดาเจ้าค่ะ"
ภิกษุหนุ่มถามอีกว่า "ทำไมจึงได้ให้สาธุการ"
"ท่านเจ้าคะ ดิฉันได้ฟังพระสูตรนี้ในวันที่สมเด็จพระทศพลประทับนั่งแสดงในป่ามหาวัน วันนี้ได้ฟังอีก ธรรมบทนี้ท่านถือเอาดีแล้ว เพราะไม่ทำให้อักษรแม้ตัวเดียวคลาดจากคำที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงไว้ที่ป่ามหาวันเมื่อครั้งโน้นเลย"
ภิกษุถามอีกว่า "เมื่อพระทศพลกำลังแสดงอยู่ คุณได้ฟังหรือ"
"อย่างนั้น เจ้าค่ะ"
"เขาว่าเทวดาเข้าประชุมมาฟังกันมาก แล้วคุณยืนฟังที่ไหน"
"ท่านเจ้าคะ ดิฉันเป็นรุกขเทวดาอยู่ในป่ามหาวัน มีศักดิ์น้อย ก็เมื่อเทวดาชั้นผู้ใหญ่กำลังพากันมา ดิฉันไม่ได้ที่ว่างในชมพูทวีปเลย ต้องถอยร่นไปสู่ตามพปิณณิทวีป ยืนริมฝั่งที่ท่าชัมพูโกล แต่แม้จะถอยมาถึงท่านั้นแล้วก็ตาม เมื่อเทวดาชั้นผู้ใหญ่ทยอยมาเพิ่ม ดิฉันก็ต้องถอยร่นมาโดยลำดับ แช่น้ำทะเลลึกแค่คอ ทางส่วนหลังของหมู่บ้านใหญ่ในจังหวัดโรหณะ แล้วก็ยืนฟังในที่นั้น"
"จากที่ซึ่งคุณยืนอยู่มันไกลนัก แล้วคุณเห็นพระศาสดาหรือ เทพธิดา"
"ทำไมจะไม่เห็นท่าน ด้วยพุทธานุภาพนั้น ดิฉันรู้สึกว่า พระศาสดาซึ่งกำลังทรงแสดงธรรมอยู่ในป่ามหาวัน ทรงแลดูดิฉันโดยเฉพาะเจาะจงอยู่เสมอ จนดิฉันรู้สึกเกรงและละอาย"

ภิกษุจึงถามต่อว่า "เขาเล่าว่า วันนั้นมีเทวดาแสนโกฏิสำเร็จพระอรหัตผล แล้วคุณล่ะตอนนั้นได้สำเร็จพระอรหัตผลด้วยหรอกหรือ"
"ไม่หรอกค่ะ ท่านผู้เจริญ"
"สำเร็จอนาคามิผล กระมัง"
"ไม่หรอกค่ะ ท่านผู้เจริญ"
"เห็นจะสำเร็จสกิทาคามิผล กระมัง"
"ไม่หรอกค่ะ ท่านผู้เจริญ"

"เขาว่า พวกเทวดาที่สำเร็จมรรคผลตั้งแต่โสดาบันไปจนถึงอนาคามีนั้นไม่สามารถนับจำนวนได้ แล้วคุณล่ะเทพธิดา สงสัยจะได้บรรลุโสดาบันกระมัง"

ซึ่งความจริง ในวันนั้นเทพธิดาองค์นี้ได้บรรลุโสดาปัตติผล เมื่อถูกภิกษุถามเจาะจงเข้าจึงรู้สึกเขินอาย เทพธิดาจึงได้กล่าวตัดบทว่า "พระคุณเจ้าไม่น่าถามซอกถามแซก"

ลำดับนั้น ภิกษุนั้นจึงกล่าวกับเทพธิดาว่า "นี่แน่ะ คุณเทพธิดา คุณจะสามารถแสดงกายให้อาตมาเห็นได้หรือไม่"

เทพธิดาตอบว่า "จะแสดงหมดทั้งตัวไม่ได้หรอกค่ะท่านผู้เจริญ ดิฉันจะแสดงแก่พระคุณเจ้าแค่ข้อนิ้วมือ" ว่าแล้ว เทพธิดาก็เอานิ้วสอดเข้าไปในถ้ำ นิ้วมือก็ปรากฏแก่ภิกษุนั้นเหมือนกับว่าพระจันทร์พระอาทิตย์ขึ้นเป็นพันๆ ดวง เทพธิดากล่าวว่า "จงอย่าประมาทในธรรมนะ ท่านเจ้าคะ" แล้วไหว้ภิกษุหนุ่ม ก่อนจากไป

อันว่ามหาสมัยสูตรนี้ ย่อมเป็นที่รักที่ชอบใจของเทวดาทั้งหลายอย่างนี้ เพราะว่าเทวดาทั้งหลายย่อมถือว่าพระสูตรนั้นเป็นของเราด้วยประการฉะนี้แล

อนึ่ง มิใช่แต่มหาสมัยสูตร พระสูตรที่เป็นธัมมาภิสมัยย่อมเป็นที่รักที่ชอบใจของหมู่เทวดาทั้งหลายเช่น เดียวกัน ฉะนั้นท่านสาธุชนทั้งหลายจงปลูกศรัทธาให้บังเกิดขึ้นในดวงจิต หมั่นสวดสาธยายพระสูตรที่เป็นธัมมาภิสมัยอยู่เถิด ท่านจะเป็นที่รักที่ชอบใจของเทวดา เทวดาทั้งหลายจะคอยคุ้มครองปกปักรักษาให้อยู่ดีมีสุขเจริญรุ่งเรือง คิดจะประกอบกิจการอันใดก็จะสำเร็จผลเป็นอัศจรรย์เหนือมนุษย์ทั้งปวง ด้วยอำนาจเทวานุภาพช่วยเหลือเกื้อกูลดังนี้แล


จาก http://www.geocities.com/palapanyo/files/anisong/ddhampis.html

ราหุโลวาทสูตร อรรถกถา มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ ภิกขุวรรค มหาราหุโลวาทสูตร เรื่องพระราหุล

ราหุโลวาทสูตร
อรรถกถา มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ ภิกขุวรรค
มหาราหุโลวาทสูตร เรื่องพระราหุล
  ๒. อรรถกถามหาราหุโลวาทสูตร  
             
มหาราหุโลวาทสูตรมีบทเริ่มต้นว่า เอวมฺเม สุตํ ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้.
ในบทเหล่านั้นบทว่า ปิฏฺฐิโต ปิฏฺฐิโต อนุพนฺธิ พระราหุลได้ตามพระผู้มีพระภาคเจ้าไป ณ เบื้องพระปฤษฎางค์. ความว่า พระราหุลไม่ละสายตาตามไปเบื้องพระปฤษฎางค์ไม่ขาดระยะด้วยการตามไปทุกอิริยาบถ.

ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงย่างพระบาทไปข้างหน้าด้วยความงดงาม. พระราหุล
เถระเดินตามเสด็จพระทศพลไป ณ ที่นั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จไปท่ามกลางป่าไม้สาละมีดอกบานสะพรั่ง ทรงรุ่งเรืองดุจช้างตัวประเสริฐตกมันออกไปเพื่อหยั่งลงสู่สมรภูมิ พระราหุลภัททะรุ่งเรืองดุจลูกช้างตามไปข้างหลังช้างตัวประเสริฐ. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรุ่งเรืองดุจไกรสรสีหราชออกจากถ้ำแก้วไปแสวงหาอาหารในเวลาเย็น พระราหุลภัททะรุ่งเรืองดุจลูกสีหะออกติดตามสีหมฤคราช. พระผู้มีพระภาคเจ้าดุจพญาเสือโคร่งมีกำลังที่เขี้ยวออกจากไพรสัณฑ์มณีบรรพตอันมีสง่า พระราหุลภัททะดุจลูกพญาเสือโคร่งติดตามพญาเสือโคร่ง. พระผู้มีพระภาคเจ้าดุจพญาครุฑออกจากสระสิมพลี. พระราหุลภัททะดุจลูกพญาครุฑตามไปข้างหลังพญาครุฑ. พระผู้มีพระภาคเจ้าดุจพญาหงส์ทองบินร่อนไปบนท้องฟ้าจากภูเขาจิตตกูฎ พระราหุลภัททะดุจลูกหงส์บินร่อนตามพญาหงส์. พระผู้มีพระภาคเจ้าดุจมหานาวาทอง

เคลื่อนลงสู่สระใหญ่ พระราหุลภัททะดุจเรือลำเล็กผูกติดข้างหลังแล่นตามเรือทอง. พระผู้มีพระภาคเจ้าดุจพระเจ้าจักรพรรดิเสด็จไปบนท้องฟ้าด้วยอานุภาพจักรแก้ว พระราหุลภัททะดุจปริณายกแก้วติดตามพระเจ้าจักรพรรดิ. พระผู้มีพระภาคเจ้าดุจดวงดาวลอยบนท้องฟ้าซึ่งปราศจากฝน พระราหุลภัททะดุจดาวประกายพรึกบริสุทธิ์ลอยไปตามดาวอธิบดี. แม้พระผู้มีพระภาคเจ้า แม้พระราหุลภัททะก็ทรงอุบัติใน

ราชวงศ์โอกกากราชสืบเชื้อพระวงศ์จากพระเจ้ามหาสมมต. แม้พระผู้มีพระภาคเจ้า แม้พระราหุลภัททะก็ทรงอุบัติในตระกูลกษัตริย์มีพระชาติบริสุทธิ์ เช่นกับน้ำนมที่ใส่ไว้ในสังข์. แม้พระผู้มีพระภาคเจ้า แม้พระราหุลภัททะก็ทรงสละราชสมบัติออกทรงผนวช. พระสรีระของพระผู้มีพระภาคเจ้าประดับด้วยมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ แม้ของพระราหุลภัททะก็เป็นที่น่ารักอย่างยิ่ง ดุจซุ้มประตูแก้วอันตั้งขึ้นในเทพนครและดุจดอกไม้สวรรค์บานแผ่ไปในที่ทั้งปวง.

ด้วยประการฉะนี้ แม้ทั้งสองพระองค์สมบูรณ์ด้วยอภินีหาร เป็นราชบรรพชิตเป็นกษัตริย์สุขุมาลชาติ มีพระฉวีดุจทองคำสมบูรณ์ด้วยลักษณะ เสด็จดำเนินไปทางเดียวกัน รุ่งเรืองดุจครอบงำสิริแห่งสิริของจันทมณฑลทั้งสอง สุริยมณฑลทั้งสอง ท้าวสักกะ ท้าวสุยามะ ท้าวสันตุสิตะ ปรนิมมิตวสวัตดี และมหาพรหมเป็นต้นทั้งสองซึ่งไปตามลำดับ.

ในขณะนั้น ท่านพระราหุลเสด็จไป ณ เบื้องพระปฤษฎางค์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแลดูพระตถาคตตั้งแต่พื้นพระบาทจน ถึงปลายพระเกสา. ท่านพระราหุลนั้นทอดพระเนตรเห็นความงดงามของเพศพระพุทธเจ้าของพระผู้มีพระ ภาคเจ้า จึงดำริว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมีพระสรีระวิจิตรด้วยมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการงดงาม ได้เป็นดุจเสด็จไปท่ามกลางผงทองคำอันกระจัดกระจาย เพราะแวดล้อมด้วยพระรัศมีวาหนึ่ง ดุจกนกบรรพตอันแวดล้อมด้วยสายฟ้า ดุจทองคำมีค่าวิจิตรด้วยรัตนะอันฉุดคร่าด้วยยนต์ แม้ทรงห่มคลุมด้วยผ้าบังสุกุลจีวรสีแดง ก็ทรงงามดุจภูเขาทองอันปกคลุมด้วยผ้ากัมพลแดง ดุจทองคำมีค่าประดับด้วยสายแก้วประพาฬ ดุจเจดีย์ทองคำที่เขาบูชาด้วยผงชาด ดุจเสาทองฉาบด้วยน้ำครั่ง ดุจดวงจันทร์วันเพ็ญโผล่ขึ้นในขณะนั้นไปในระหว่างฝนสีแดง. สิริสมบัติของอัตภาพที่ได้เตรียมไว้ด้วยอานุภาพแห่งสมติงสบารมี.

จากนั้นพระราหุลเถระก็ตรวจดูตนบ้าง ทรงดำริว่า แม้เราก็งาม หากพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงครองความเป็นพระเจ้าจักรพรรดิในมหาทวีปทั้ง ๔ ได้ทรงประทานตำแหน่งปริณายกแก่เรา เมื่อเป็นเช่นนั้น ภาคพื้นชมพูทวีปจักงามยิ่งนัก จึงเกิดฉันทราคะอันอาศัยเรือนเพราะอาศัยอัตภาพ.

แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จดำเนินไปเบื้องหน้าก็ทรงดำริว่า บัดนี้ ราหุลมีร่างกายสมบูรณ์ด้วยผิวเนื้อและโลหิตแล้ว. เป็นเวลาที่จิตฟุ้งซ่านไปในรูปารมณ์เป็นต้นอันน่ากำหนัด. ราหุลยังกาลให้ล่วงไปเพราะเป็นผู้มักมากหรือหนอ. ครั้นแล้วพร้อมกับทรงคำนึงได้ทรงเห็นจิตตุปบาทของราหุลนั้น ดุจเห็นปลาในน้ำใสและดุจเห็นเงาหน้าในพื้นกระจกอันบริสุทธิ์.

ก็ครั้นทรงเห็นแล้วได้ทรงทำพระอัธยาศัยว่า ราหุลนี้เป็นโอรสของเรา เดินตามหลังเรา มาเกิดฉันทราคะอันอาศัยเรือน เพราะอาศัยอัตภาพว่า เรางาม ผิวพรรณของเราผ่องใส. ราหุลแล่นไปในที่มิใช่น่าดำเนิน ไปนอกทาง เที่ยวไปในอโคจร ไปยังทิศที่ไม่ควรไปดุจคนเดินทางหลงทิศ.

อนึ่ง กิเลสของราหุลนี้เติบโตขึ้นในภายในย่อมไม่เห็นแม้ประโยชน์ตน แม้ประโยชน์ผู้อื่น แม้ประโยชน์ทั้งสองตามความเป็นจริง. จากนั้นจักถือปฏิสนธิในนรกบ้าง ในกำเนิดเดียรัจฉานบ้าง ในปิตติวิสัยบ้าง ในครรภ์มารดาอันคับแคบบ้าง เพราะเหตุนั้นจักตกไปในสังสารวัฏอันไม่รู้เบื้องต้นที่สุด.เพราะ

                         ความโลภนี้ยังความพินาศให้เกิด ความโลภยังจิต
                         ให้กำเริบ ภัยเกิดแต่ภายใน ชนย่อมไม่รู้สึกถึงภัย
                         นั้น คนโลภย่อมไม่รู้อรรถ คนโลภย่อมไม่เห็นธรรม
                         ความมืดตื้อย่อมมีในกาลที่ความโลภครอบงำคน.

เราไม่ควรเพิกเฉยราหุลนี้เหมือนอย่างเรือลำใหญ่เต็มไป ด้วยรัตนะมากมายบรรจุน้ำไปในระหว่างกระดานแตก นายเรือไม่ควรเพิกเฉยแม้เพียงครู่เดียว ฉะนั้น เราจักข่มราหุลนั้นตราบเท่าที่กิเลสนี้ยังไม่ทำให้ศีลรัตนะเป็นต้นในภายใน ของราหุลนั้นพินาศไปเสียก่อน. ในฐานะเห็นปานนี้ เป็นธรรมดาของพระพุทธเจ้าทั้งหลายย่อมทรงเหลียวดูดุจพญาช้าง เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงประทับยืนหมุนพระวรกายทั้งสิ้น ดุจปฏิมาทองหมุนกลับตรัสเรียกพระราหุลภัททะ.

พระอานนทเถระหมายถึงพระราหุลภัททะนั้นจึงกล่าวคำมีอาทิว่า อถ โข ภควา อวโลเกตฺวา ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงผินพระพักตร์ ดังนี้.

ในบทเหล่านั้นบทมีอาทิว่า ยํ กิญฺจิ รูปํ รูปอย่างใดอย่างหนึ่งพิสดารแล้วในขันธนิเทศในวิสุทธิมรรคโดยอาการทั้งปวง.

บทมีอาทิว่า เนตํ มม นั่นไม่ใช่ของเรา ท่านกล่าวไว้แล้วในมหาหัตถิปโทปมสูตร.

เพราะเหตุไร พระราหุลจึงทูลถามว่า รูปเมว นุโข ภควา ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า รูปเท่านั้นหรือพระเจ้าข้า. นัยว่าพระราหุลนั้นเกิดนัยขึ้นเพราะสดับว่า รูปทั้งปวงนั่นไม่ใช่ของเรา เราไม่เป็นนั่น นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา
             
พึงปฏิบัติอย่างไรหนอ. เพราะฉะนั้น พระราหุลตั้งอยู่ในนัยนั้นจึงทูลถาม.

จริงอยู่ ท่านพระราหุลนี้เป็นผู้ฉลาดในนัย เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่าสิ่งนี้ไม่ควรทำ ย่อมแทงตลอดแม้ตั้งร้อยนัยพันนัยว่า สิ่งนี้ควรทำ สิ่งนี้ไม่ควรทำ. แม้เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า สิ่งนี้ควรทำก็มีนัยนี้เหมือนกัน.

จริงอยู่ ท่านพระราหุลนี้เป็นผู้ใคร่ต่อการศึกษา เกลี่ยทรายประมาณบาตรหนึ่งในบริเวณพระคันธกุฎีแต่เช้าตรู่ด้วยคิดว่า วันนี้เราจะได้รับโอวาทประมาณเท่านี้ ได้การตักเตือนประมาณเท่านี้จากสำนักของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จากสำนักของพระอุปัชฌาย์.

แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อจะทรงตั้งพระราหุลไว้ในเอตทัคคะ จึงทรงตั้งให้เป็นผู้เลิศในการศึกษาว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บรรดาภิกษุสาวกของเราผู้ใคร่ต่อการศึกษา ราหุลเป็นผู้เลิศของภิกษุเหล่านั้น.

แม้ท่านพระราหุลนั้นก็ได้บันลือสีหนาท ในท่ามกลางภิกษุสงฆ์อย่างนั้นเหมือนกันว่า

                         พระธรรมราชาผู้เป็นพระชนกของเรา ทรงตั้ง
                         เราไว้ในเอตทัคคะเฉพาะหน้าภิกษุสงฆ์ เพื่อ
                         ความรู้ยิ่งสิ่งทั้งปวงนี้.
                         พระธรรมราชาทรงยกย่องเราว่าเป็นผู้เลิศของ
                         ภิกษุทั้งหลายผู้ใคร่การศึกษา และของภิกษุทั้ง
                         หลายผู้บวชด้วยศรัทธา.
                         พระธรรมราชาผู้ประเสริฐ ผู้เป็นพระสหาย เป็น
                         พระชนกของเรา และพระสารีบุตรผู้รักษาธรรม
                         ผู้มีความอิ่มใจเป็นพระอุปัชฌาย์ของเรา ทั้งหมด
                         เป็นคำสอนของพระชินเจ้า.

ลำดับนั้น เพราะไม่พึงเห็นแต่รูปอย่างเดียวเท่านั้น แม้เวทนาเป็นต้นก็พึงเห็นอย่างนั้น ฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสแก่พระราหุลว่า รูปํปิ ราหุล เป็นอาทิ.

บทว่า โกนุชฺช ตัดบทว่า โก นุ อชฺช วันนี้ใครหนอ.

นัยว่า พระเถระได้มีปริวิตกว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรามิได้ตรัสกถาโดยปริยายว่า ชื่อว่าสมณะพึงรู้ฉันทราคะอาศัยอัตภาพแล้วไม่พึงตรึกถึงวิตกเห็นปานนี้. มิได้ทรงส่งทูตไปว่า ดูก่อนภิกษุ เธอจงไป จงบอกราหุลว่า ท่านอย่าตรึกถึงวิตกเห็นปานนี้อีกเลย ตั้งเราไว้เฉพาะหน้าแล้วทรงประทานสุคโตวาทเฉพาะหน้า ดุจจับโจรพร้อมด้วยภัณฑะที่จุก. ชื่อว่าสุคโตวาทหาได้ยากโดยอสงไขยกัป. ใครหนอเป็นผู้มีชาติแห่งบัณฑิต วิญญูชนได้รับโอวาทเฉพาะพระพักตร์พระพุทธเจ้าเห็นปานนี้แล้ว วันนี้จักเข้าไปยังบ้านเพื่อบิณฑบาต.

ลำดับนั้น ท่านพระราหุลสละอาหารกิจและกลับจากที่อันผู้อยู่ ณ ที่นั่ง ได้รับโอวาทแล้ว นั่ง ณ โคนไม้ต้นหนึ่ง. พระผู้มีพระภาคเจ้าแม้ทรงเห็นท่านพระราหุลกลับ ก็มิได้ตรัสอย่างนี้ว่า ดูก่อนราหุล เป็นเวลาภิกขาจารของเรา เธออย่ากลับเลย.

เพราะเหตุไร. นัยว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นได้มีพระดำริว่า วันนี้ ราหุลจงบริโภคอมตโภชนะคือกายคตาสติก่อน.

บทว่า อทฺทสา โข อายสฺมา สารีปุตฺโต ท่านพระสารีบุตรได้เห็นแล้วแล คือเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จไปแล้ว ท่านพระสารีบุตรไปภายหลังได้เห็นแล้ว.

ได้ยินว่า เมื่อท่านพระสารีบุตรอยู่รูปเดียวก็มีวัตรอย่างหนึ่ง. เมื่ออยู่กับพระผู้มีพระภาคเจ้าก็มีวัตรอย่างหนึ่ง. ในกาลใดพระอัครสาวกทั้งสองอยู่ตามลำพัง. ในกาลนั้นท่านทั้งสองกวาดเสนาสนะแต่เช้าตรู่ชำระร่างกาย นั่งเข้าสมาบัติ แล้วไปภิกษาจารตามความชอบใจของตนๆ.

อนึ่ง พระเถระทั้งสอง เมื่ออยู่กับพระผู้มีพระภาคเจ้ามิได้ทำอย่างนั้น. ในกาลนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าแวดล้อมด้วยภิกษุสงฆ์ เสด็จไปภิกษาจารก่อน. เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จไปแล้ว พระเถระออกจากเสนาสนะของตน ดำริว่า ในที่ที่ภิกษุอยู่กันมากๆ ภิกษุทั้งหมดสามารถจะทำให้เลื่อมใส หรือไม่สามารถ จึงไปในที่นั้นๆ แล้วกวาดที่ที่ยังมิได้กวาด.

หากว่า หยากเยื่อยังไม่ได้ทิ้ง ก็เอาทิ้งเสีย. เมื่อยังไม่มีหม้อน้ำดื่ม ในที่ที่ควรตั้งน้ำดื่มไว้ก็ตั้งหม้อน้ำดื่มไว้. ไปเยี่ยมภิกษุไข้แล้ว ถามว่า อาวุโส ผมจะนำอะไรมาถวายท่าน. ท่านต้องการอะไร. ไปหาภิกษุหนุ่มที่ยังไม่ได้พรรษาแล้วสอนว่า อาวุโสทั้งหลาย ขอท่านจงยินดียิ่งเถิด จงอย่าเบื่อหน่ายพระพุทธศาสนาอันมีสาระในการปฏิบัติเลย. ครั้นทำอย่างนี้แล้วก็ไปภิกษาจารภายหลังภิกษุทั้งหมด.

เหมือนอย่างว่า พระเจ้าจักรพรรดิมีพระประสงค์จะเสด็จไป ณ ที่ไหนๆ ทรงแวดล้อมด้วยเสนาเสด็จไปก่อน ปริณายกแก้วจัดกองทัพออกไปภายหลังฉันใด พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นจักรพรรดิแห่งพระสัทธรรมก็ฉันนั้น ทรงแวดล้อมด้วยภิกษุสงฆ์เสด็จออกไปก่อน พระธรรมเสนาบดีผู้เป็นปริณายกแก้วของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ทำกิจนี้เสร็จแล้วจึงออกไปภายหลังภิกษุทั้งหมด.

พระเถระนั้นออกไปอย่างนี้แล้วในวันนั้นได้เห็นพระราหุลภัททะนั่ง ณ โคนต้นไม้ต้นหนึ่ง. ด้วยเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า ปจฺฉา คจฺฉนฺโต อทฺทส ท่านพระสารีบุตรไปภายหลังได้เห็นแล้ว.

เมื่อเป็นเช่นนั้น เพราะเหตุไร ท่านพระสารีบุตรจึงชักชวนในอานาปานสติเล่า.

เพราะสมควรแก่การนั่ง.

ได้ยินว่า พระเถระมิได้นึกถึงว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสรูปกรรมฐานแก่พระราหุลนั้นแล้ว คิดว่ากรรมฐานนี้สมควรแก่การนั่งนี้ของพระราหุลนั้น โดยอาการที่พระราหุลนี้นั่งติดอยู่กับอาสนะอันไม่ไหวติง จึงกล่าวอย่างนี้.

ในบทเหล่านั้น บทว่า อานาปานสตึ ท่านพระสารีบุตรแสดงว่า ท่านจงกำหนดลมหายใจเข้าลมหายใจออกแล้วยังฌาน หมวด ๔ หมวด ๕ ให้เกิดในอานาปานสตินั้น แล้วเจริญวิปัสสนา ถือเอาพระอรหัต.

บทว่า มหปฺผลา โหติ มีผลมาก.

มีผลมากอย่างไร.

ภิกษุในศาสนานี้ขวนขวายอานาปานสติ นั่งเหนืออาสนะหนึ่ง ยังอาสวะทั้งหมดให้สิ้นไปแล้วบรรลุพระอรหัต. เมื่อไม่สามารถอย่างนั้นก็เป็นสมสีสี (สิ้นชีวิตพร้อมทั้งสิ้นกิเลส) ในเวลาตาย. เมื่อไม่สามารถอย่างนั้นก็บังเกิดในเทวโลก ครั้นฟังธรรมของเทพบุตรผู้เป็นธรรมกถึกแล้วได้บรรลุพระอรหัต. พลาดไปจากนั้นเมื่อยังไม่เกิดพุทธุปบาทกาล ย่อมทำให้แจ้งปัจเจกโพธิ. เมื่อยังไม่ทำให้แจ้งปัจเจกโพธินั้น ย่อมเป็นขิปปาภิญญา (รู้ได้เร็ว) เฉพาะพระพักตร์พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ดุจพระพาหิยเถระเป็นต้นฉะนั้น ย่อมมีผลมากด้วยประการฉะนี้.

บทว่า มหานิสํสา เป็นไวพจน์ของบทว่า มหปฺผลา.

แม้ข้อนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ตรัสไว้ว่า

                          อานาปานสฺสติ ยสฺส     ปริปุณฺณา สุภาวิตา
                          อนุปุพฺพปริจีตา         ยถา พุทฺเธน เทสิตา
                          โสมํ โลกํ ปภาเสติ     อพฺภา มุตฺโตว จนฺทิมา.
                         ผู้ใดเจริญอานาปานสติให้บริบูรณ์ สะสมไว้ 
                         โดยลำดับ เหมือนอย่างที่พระพุทธเจ้าทรง 
                         แสดงไว้ ผู้นั้นย่อมทำโลกให้สว่างไสว ดุจ 
                         พระจันทร์พ้นจากเมฆหมอกฉะนั้น. 


พระเถระ เมื่อเห็นความที่อานาปานสติมีผลมากนี้ จึงได้ชักชวนสัทธิวิหาริกในอานาปานสตินั้น. ด้วยประการฉะนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบอกรูปกรรมฐาน พระเถระบอกอานาปานสติ เพราะเหตุนั้น แม้ทั้งสองท่านบอกกรรมฐานแล้วก็ไป.

พระราหุลภัททะเป็นผู้ถูกทิ้งไว้ในวิหารนั่นแหละ พระผู้มีพระภาคเจ้าแม้ทรงรู้ว่าพระราหุลภัททะถูกทิ้งไว้ ไม่ทรงรับขาทนียะโภชนียะด้วยพระองค์เองแล้วก็มิได้เสด็จไป. มิได้ทรงส่งในมือของพระอานนท์เถระ มิได้ทรงให้สัญญาแก่พระเจ้าปเสนทิโกศลมหาราชและอนาถบิณฑิกเศรษฐีเป็นต้น. เพราะชนเหล่านั้นได้เพียงสัญญาก็จะพึงนำของใส่หาบมา.

แม้พระสารีบุตรเถระก็มิได้ทำอะไรๆ อย่างเดียวกับพระผู้มีพระภาคเจ้าฉันนั้น.

พระราหุลเถระอดอาหาร ขาดภัต. แต่ท่านพระราหุลนั้น แม้จิตก็มีได้เกิดขึ้นว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าแม้ทรงทราบว่าเราออกจากวิหาร ทรงรับบิณฑบาตที่พระองค์ได้แล้วด้วยพระองค์เองก็มิได้เสด็จมา. มิได้ทรงส่งไปในมือของผู้อื่น. มิได้ทรงให้สัญญาแก่มนุษย์ทั้งหลาย. แม้พระอุปัชฌาย์ของเราก็รู้ว่าเราถูกทิ้งไว้ ก็มิได้ทำอะไรๆ อย่างนั้นเลย. ความเย่อหยิ่งหรือความดูหมิ่น เพราะการทำนั้นเป็นปัจจัยจักมีแต่ไหน.

อนึ่ง พระราหุลมนสิการเป็นลำดับถึงกรรมฐานที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบอก แม้ก่อนภัต แม้ภายหลังภัตว่า รูปไม่เที่ยงแม้อย่างนี้ เป็นทุกข์แม้อย่างนี้ เป็นอสุภะแม้อย่างนี้ เป็นอนัตตาแม้อย่างนี้ ดุจผู้ปรารถนาอยากได้ไฟในเวลาเย็นจึงคิดว่า พระอุปัชฌาย์บอกเราว่า ท่านจงเจริญอานาปานสติ เราจักเชื่อท่าน เพราะผู้ไม่เชื่ออาจารย์และอุปัชฌาย์ ชื่อว่าเป็นผู้ว่ายาก. เพราะเหตุนั้น ชื่อว่าความบีบคั้นอันหยาบคายกว่าเพราะการเกิดขึ้นแห่งการติเตียนว่า พระราหุลเป็นผู้ว่ายาก ไม่กระทำตามคำของอุปัชฌาย์ดังนี้ ย่อมไม่มี.

พระราหุลประสงค์จะทูลถามถึงวิธีของภาวนาจึงได้ไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า.

เพื่อแสดงความนั้น พระอานนทเถระจึงกล่าวบทมีอาทิว่า อถ โข อายสฺมา ราหุโล ดังนี้.

ในบทเหล่านั้นบทว่า ปฏิสลฺลานา จากที่เร้น คือจากความเป็นผู้เดียว.

คำว่า ยํ กิญฺจิ ราหุล ความว่า เพราะเหตุไร พระราหุลทูลถามถึงอานาปานสติ พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสรูปกรรมฐานเล่า.


ตอบว่า เพื่อละฉันทราคะในรูป.

นัยว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงมีพระดำริว่า ฉันทราคะเกิดขึ้นแก่พระราหุล เพราะอาศัยอัตภาพ. แม้ในหนหลังพระองค์ก็ได้ตรัสรูปกรรมฐานไว้โดยย่อแก่พระราหุลนั้น.

บัดนี้ เราจักจำแนกไม่ปรุงแต่งอัตภาพโดยอาการ ๔๐ แล้วยังฉันทราคะอาศัยอัตภาพนั้นอันยังไม่เกิดเป็นธรรมดาให้เกิดแก่ราหุ ลนั้น.

เมื่อเป็นเช่นนั้น เพราะเหตุไรจึงทำอากาศธาตุให้พิสดารเล่า.

เพื่อแสดงอุปาทารูป เพราะท่านกล่าวถึงมหาภูตรูป ๔ ไว้แล้วในหนหลัง ไม่ได้กล่าวถึงอุปาทารูป ฉะนั้นเพื่อแสดงอุปาทารูปนั้นโดยมุขนี้ จึงยังอากาศธาตุให้พิสดาร.

อีกอย่างหนึ่ง แม้ปริจฉินนรูป (รูปที่กำหนดไว้) ก็มาปรากฏด้วยอากาศภายใน.

เพื่อความปรากฏแจ่มแจ้งของรูปที่กำหนดไว้

ด้วยอากาศ เท่าที่ประดับไว้ พระผู้มีพระภาค

เจ้า ผู้เป็นนายก จึงทรงประกาศรูปนั้น.

บทที่ควรกล่าวในธาตุ ๔ ในสูตรนี้และสูตรก่อน ได้กล่าวไว้แล้วในมหาหัตถิปโทปมสูตร.

               พึงทราบวินิจฉัยในอากาศธาตุดังต่อไปนี้.
               บทว่า อากาสคตํ มีลักษณะว่าง คือเป็นสภาวธรรม.
               บทว่า อุปาทินฺนํ อันกรรมและกิเลสเข้าไปยึดมั่น. ความว่า ยึดมั่นถือมั่นกอดรัดตั้งอยู่ในสรีระ.
               บทว่า กณฺณฉิทฺทํ คือ ช่องหู ไม่สัมผัสด้วยเนื้อและเลือด.
               แม้ในบทว่า นาสจฺฉิทฺทํ ช่องจมูกเป็นต้นก็มีนัยนี้เหมือนกัน.
               บทว่า เยน จ คือ โดยช่องใด.
               บทว่า อชฺโฌหรติ ย่อมกลืนให้เข้าไปภายใน. บทนี้ท่านกล่าวหมายถึงที่ที่เป็นช่อง ๑ คืบ ๔ นิ้วของมนุษย์ทั้งหลายตั้งแต่โคนลิ้นถึงพื้นท้อง.
               บทว่า ยตฺถ จ คือ ในโอกาสใด.
               บทว่า สํติฏฺฐติ คือ ตั้งอยู่.
               บทนี้ท่านกล่าวหมายถึงพื้นท้องใหญ่ อันเป็นดังผ้ากรองน้ำผืนใหญ่ของมนุษย์ทั้งหลาย.
               บทว่า อโธภาคํ นิกฺขมติ คือ ถ่ายออกเบื้องล่าง. บทนี้ท่านกล่าวหมายถึงไส้ใหญ่ ไส้หนึ่งประมาณ ๓๒ ศอกในที่ ๒๑ แห่ง.
               ด้วยบทนี้ว่า ยํ วา ปน อญฺญํปิ หรือสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างอื่น ท่านแสดงถึงอากาศอันไปในระหว่างหทัยและเนื้อเป็นต้น และอันตั้งอยู่โดยความเป็นขุมขน.
               คำที่เหลือในบทนี้พึงทราบโดยนัยดังกล่าวแล้วในปฐวีธาตุเป็นต้น.
               บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อตรัสบอกถึงลักษณะแห่งความเป็นผู้คงที่แก่พระราหุลนั้นจึงตรัสบทมีอาทิว่า ปฐวีสมํ เสมอด้วยแผ่นดิน. บุคคลผู้ไม่กำหนัด ไม่ประทุษร้ายในอารมณ์อันน่าปรารถนาและไม่น่าปรารถนา ชื่อว่าตาทีบุคคล (ผู้คงที่)
               ในบทว่า มนาปามนาปา นี้พึงทราบความดังต่อไปนี้.
               ผัสสะสัมปยุตด้วยจิตสหรคตด้วยโลภะ ๘ ชื่อว่า มนาปา เป็นที่ชอบใจ. ผัสสะสัมปยุตด้วยโทมนัสจิต ๒ ชื่อว่า อมนาปา ไม่เป็นที่ชอบใจ.

               บทว่า จิตฺตํ น ปริยาทาย ฐสฺสนฺติ ผัสสะจักไม่ครอบงำจิตตั้งอยู่ได้ ความว่า ผัสสะเหล่านั้นเกิดขึ้นแล้วจักไม่สามารถครอบงำจิตของท่าน ดุจจะทำให้อยู่ในกำมือได้. ฉันทราคะจักไม่เกิดเพราะอาศัยอัตภาพอีกว่า เรางาม ผิวพรรณของเราผ่องใสดังนี้.

               คูถนั้นแหละชื่อว่า คูถคตํ ในบทมีอาทิว่า คูถคตํ.
               ในบททั้งปวงก็อย่างนี้.

               บทว่า น กตฺถจิ ปติฏฺฐิโต เหมือนอากาศไม่ตั้งอยู่ในที่ไหนๆ คือไม่ตั้งอยู่แม้ในที่เดียวมีในแผ่นดินภูเขาและต้นไม้เป็นต้น. ผิว่า อากาศพึงตั้งอยู่บนแผ่นดินเมื่อแผ่นดินทำลายก็จะพึงทำลายไปด้วยกัน. เมื่อภูเขาพังก็จะพังไปด้วยกัน. เมื่อต้นไม้หักก็จะหักไปด้วยกันเท่านั้น.
               เพราะเหตุไร พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงปรารภว่า เมตฺตํ ราหุล เพื่อแสดงเหตุแห่งความเป็นผู้คงที่. เพราะทรงแสดงเหตุแห่งความเป็นผู้คงที่ไว้แล้วในหนหลัง. ใครๆ ไม่สามารถเพื่อเจริญ เพราะมิใช่เหตุว่า เราเป็นผู้คงที่. ใครๆ มิใช่ชื่อว่าเป็นผู้คงที่ด้วยเหตุเหล่านี้ว่า เราเป็นผู้ขวนขวายในตระกูลสูง เป็นพหุสูต เป็นผู้มีลาภ. พระราชามหาอำมาตย์ของพระราชาเป็นต้นย่อมคบเรา. เราเป็นผู้คงที่ก็หามิได้. แต่เป็นผู้คงที่ด้วยการเจริญเมตตาเป็นต้น เพราะเหตุนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงทรงปรารภเทศนานี้เพื่อแสดงเหตุแห่งความเป็นผู้คงที่.

               ในบทเหล่านั้นบทว่า ภาวยโต เจริญ คือยังอุปจารภาวนาหรืออัปปนาภาวนาให้ถึง.
               บทว่า โย พยาปาโท พยาบาท คือจักละความโกรธในสัตว์ได้.
               บทว่า วิเหสา ความเบียดเบียน คือเบียดเบียนสัตว์ทั้งหลายด้วยฝ่ามือเป็นต้น.
               บทว่า อรติ ความไม่ยินดี คือความเป็นผู้เบื่อหน่ายในเสนาสนะอันสงัด และในธรรมเป็นอธิกุศล.
               บทว่า ปฏิโฆ ความขุ่นเคือง คือกิเลสเป็นเครื่องให้เดือดร้อนในทุกๆ แห่ง.
               บทว่า อสุภํ ไม่งาม คือเจริญอุปจาระและอัปปนาในซากศพที่พองอืดเป็นต้น.
               บทว่า อุทฺธุมาตกา ซากศพพองอืด อสุภภาวนานี้ท่านกล่าวไว้โดยพิสดารแล้วในวิสุทธิมรรค.
               บทว่า ราโค ได้แก่ ราคะประกอบด้วยกามคุณ ๕.
               บทว่า อนิจฺจสญฺญํ อนิจจสัญญาภาวนา คือ สัญญาอันเกิดพร้อมกับอนิจจานุปัสสนา หรือวิปัสสนานั่นแหละ. แม้ความไม่มีสัญญาท่านก็กล่าวว่าสัญญา ด้วยหัวข้อแห่งสัญญา.
               บทว่า อสฺมิมาโน ถือว่าเรามีอยู่ คือ มีมานะว่า เรามีอยู่ในรูปเป็นต้น.

บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะยังปัญหาที่พระเถระถามให้พิสดารจึงกล่าวบทมีอาทิว่า อานาปานสฺสติ ดังนี้. กรรมฐานนี้ กรรมฐานภาวนา และอรรถแห่งบาลี พร้อมด้วยอานิสงส์กถา ท่านกล่าวไว้พิสดารแล้วในอนุสสตินิเทศในวิสุทธิมรรคโดยอาการครบถ้วนทุกประการ.

พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงจบพระธรรมเทศนานี้ด้วยสามารถแห่งบุคคลผู้พึงแนะนำนั่นแหละด้วยประการฉะนี้.

               จบอรรถกถามหาราหุโลวาทสูตรที่ ๒            
               --------------------------------------------------              
.. อรรถกถา มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ ภิกขุวรรค มหาราหุโลวาทสูตร เรื่องพระราหุล จบ.